brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

May 2025

โอม - อนวัช เพชรอุดมสินสุข
Tastes of Meme
เรื่อง: กษิดิ์เดช มาลีหอม
ภาพ: ธันวา ลุจินตานนท์
23 Dec 2022

ในหนังสือ Why We Post: ส่องวัฒนธรรมโซเชียลมีเดียผ่านมานุษยวิทยาดิจิทัล กล่าวถึงมีมไว้ว่า “มีมช่วยให้คนแสดงความเห็นสะท้อนสังคมในทางอ้อมได้โดยไม่ล้ำเส้นบรรทัดฐานของสังคม” ความคิดนี้อาจจะส่งต่อให้เราเข้าใจภาพผลงานของโอม—อนวัช เพชรอุดมสินสุข ช่างภาพอาหารที่หยอกล้อกับความจริงของสังคมปัจจุบันได้อย่างแสบสัน โดยที่เขาบอกกับเราว่ามีคลังห้องสมุดมีมอยู่ในหัวของตัวเอง ในชนิดที่ว่าแค่หลับตานึกก็คิดออก ซึ่งภาพอารมณ์ขันแฝงความหมายทั้งดีและร้ายนี้ล่ะคือวัตถุดิบชั้นเลิศในการสร้างภาพถ่ายให้แก่ตัวเขาเองในเซตผลงานที่เรารู้จักกันดีในนาม #365ohmanawat โปรเจกต์การถ่ายรูปทุกวันเป็นเวลา 365 วันต่อกัน

โอมกำลังจะอายุ 29 ปี ถือว่าเขาอยู่ในเจเนอเรชั่นที่เติบโตมาพร้อมกับคำถามที่มากมายต่อค่านิยมในสังคม ผลงานของเขาตั้งคำถามต่อความปกติดีของบ้านเมืองว่ามันปกติดีจริงๆ ใช่ไหม โดยที่เขาไม่ต้องเดินทางออกไปไหนไกลเพียงแค่วนอยู่ในซอยบ้านตัวเองเท่านั้นก็พบเจอเรื่องประหลาดใจได้เสมอ พบความพิลึกพิลั่นทั้งในเรื่องความเชื่อและบรรทัดฐานของสังคมแห่งนี้ บ้านของเขาอยู่ย่านฝั่งธน เติบโตมาในครอบครัวไทย-จีน ผ่านการเกิดรัฐประหารมาสองครั้ง มีช่วงชีวิตวัยรุ่นในยุคที่สังคมบูชาความสำเร็จแบบยิ่งใหญ่ ผมว่าองค์ประกอบทั้งหมดนี้จะชวนทำให้เราเข้าใจเนื้อหาผลงานของเขามากขึ้น

พลังงานสร้างสรรค์ของเขาขับเคลื่อนด้วย Cursed images ภาพถ่ายที่บรรยายถึงความประหลาด สิ่งที่ไม่ปกติตามตรรกะทั่วไปในสังคม และเป็นภาพที่มีความละเอียดต่ำ มุขตลกเหล่านี้มีชุมชนที่เหนียวแน่นบนโซเชียลมีเดียมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2016 โอมบอกกับเราว่าอารมณ์ขันของภาพพวกนี้นั้นเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของตัวผลงานของเขา 

หากมีมเป็นเหมือนอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์บนโซเชียลมีเดีย ผลงานของโอมก็เหมือนกับการทำให้มุขตลกเหล่านั้นคมชัดและสวยงามมากขึ้น

ทีม D1839 ได้มีโอกาสไปชมนิทรรศการ Bad Aftertaste ที่ VS Gallery โดยภายในงานเป็นการนำผลงานซีรีส์ #365ohmanawat และจากแคมเปญ BKK StreetxFood แบ่งจัดแสดงเป็น 2 ห้อง ก่อนที่โอมจะพาเดินชมงานจัดแสดงภาพเดี่ยวครั้งแรกของตัวเองนั้นพวกเรานั่งล้อมวงกันบนเก้าอี้พลาสติกโมโนบลอคสีแดง คุยกันถึงเรื่องชีวิตที่เขาเลือกเดินทางสายช่างภาพอาหาร เรื่องตัวตนที่ครอบอยู่ในโปรเจกต์ที่ผ่านมาและปัจจุบัน และเขาในฐานะตัวแทนของคนในเจเนอเรชั่นวายที่ส่งเสียงระบายความอัดอั้นตันใจผ่านภาพถ่ายถึงความไม่พอใจต่อสังคมที่เป็นอยู่ 

คนหลังกล้องดูจะเป็นคำที่จะนิยามตัวเขาเองก่อนที่จะมาเป็นช่างภาพอาชีพเต็มตัว ซึ่งชีวิตของเขากับการได้มาเป็นช่างภาพอาหาร หากจะเลือกใช้คำว่าจับพลัดจับผลูมาได้ก็คงจะไม่ผิด โอมเล่าให้เราฟังว่าเขาเองนั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะมาอยู่ในสายงานนี้ตั้งแต่ตอนเริ่ม แต่การชอบถ่ายรูปของเขานั้นนำพาตัวเองไปเรื่อยๆ ตั้งแต่จากการถ่ายรูปงานรับปริญญา งานอีเวนต์ต่างๆ จนรู้ตัวว่าไม่เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล วันหนึ่งมีเพื่อนที่เป็นฟู้ดสไตลิสต์ มาให้เขาไปช่วยงานและวันนั้นเองที่เขาเริ่มเข้าวงการภาพถ่ายอาหารเป็นครั้งแรก 

จากประวัติไม่ได้เรียนถ่ายภาพมา แล้วโอมมาสนใจการถ่ายภาพได้อย่างไรครับ

เริ่มเลยผมไม่ได้ชอบถ่ายภาพ ผมชอบที่จะไม่ถูกถ่ายภาพ หนีไปเป็นตากล้อง นึกออกมั้ยเวลาเราถือกล้องเราไม่โดนถ่ายรูปแน่นอน นั่นคือเหตุผลแรกที่ขอพ่อซื้อกล้อง ไม่รู้เป็นอะไรไม่ชอบโดนถ่ายรูป เริ่มมีกล้องตัวแรกตอนขึ้นปีหนึ่ง ตอนนั้นเริ่มถ่ายบ้าถ่ายบอไม่มีหลักอะไรทั้งนั้น ถ่ายไม่เป็นด้วย เราก็ถ่ายเพื่อน ถ่ายเล่นแค่นั้นเลย 

การเรียนจบไม่ตรงสายทำให้เราได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างไรบ้างไหม

ได้เปรียบนี่ยังไม่แน่ใจ แต่เสียเปรียบเนี่ยผมจะรู้สึกว่าเด็กที่กำลังเรียนอยู่เลยนะ เขาจะมีทักษะพื้นฐานไม่ว่าเรื่องการจัดแสงหรือแต่งรูป พวกพื้นฐานเขาจะแน่นกว่าผมมากๆ เราไม่ได้รู้เรื่องจัดแสง ทุกวันนี้ผมยังมั่วอยู่เลย คือมันเริ่มมีแนวทางแล้วแต่ว่ามันไม่มีพื้นฐาน ผมมันเริ่มจากมั่วๆ ซั่วๆ ของเราไถไปเรื่อย แต่ความได้เปรียบผมไม่แน่ใจว่ามันคือความได้เปรียบรึเปล่า ผมไม่แน่ใจว่าเด็กโฟโต้ที่เขาเรียน เรื่องวิธีการคิดในลักษณะไหนบ้าง เด็กสถาปัตย์เวลาเรียนจบไปมันจะมีคำนึงว่าคุณใช้แนวคิดของสถาปัตย์ไปทำอะไรก็ได้ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าแนวคิดนี้มันสอนอยู่แล้วทุกคณะสายอาร์ตรึเปล่า แต่แนวคิดนี้มันทำให้เหมือนกับผมไม่ได้สนใจเทคนิคขนาดนั้น ผมสนใจแนวความคิดของรูปมากกว่าเพราะด้านนั้นเราไม่แข็งแรงอยู่แล้ว เราขอมาด้านความคิดด้านเนื้อหาของภาพมากกว่า เหมือนบังคับเรากลายๆ ว่าต้องทำเนื้อหาให้ดี 

อะไรคือความสนุกของการถ่ายภาพอาหาร

คือถ้างานลูกค้า งานจ้างคอมเมอร์เชียลพวกนั้นไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ มันเสิร์ฟเขา ซึ่งเราไม่มีปัญหานะ แต่ความสนุกมันจะมาอยู่ที่งานส่วนตัว ผมมีไอดอลเป็นพี่แพรว—พัดชา กิจชัยเจริญ พี่แพรวแกเหมือนเปิดโลกให้ผมเห็นว่า อาหารไม่จำเป็นต้องน่ากินอย่างเดียวหรือขายของอย่างเดียว มันเอามาเล่นบ้าๆ บอๆ ได้ด้วยเหมือนกันนะ นั่นแหละครับพอเราเห็นพี่แพรวทำได้เปิดทางให้เราแล้ว เราก็ลองทำมั่งดีกว่า เรารู้สึกว่าอาหารมันมีหลายวิธีในการเล่าออกไป อย่างผมชอบ Cursed images หน้าตาน่าเกลียด คือมันตรงกันข้ามกับงานคอมเมอร์เชียลที่ผมถ่ายเลย เอาอาหารมาทำอะไรให้มันดูน่าเกลียดๆ คือผมก็ไม่ได้ชอบถึงขนาดทนดูมันได้ตลอดนะบางที หลายๆ รูปมันจะมีกลิ่นของความแบบที่ไม่ควรเอามาเล่น

ตอนถ่ายภาพพวกนี้เคยมีความรู้สึกแบบถามตัวเองไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ (ชี้ไปที่รูปมาม่าในอ่างอาบน้ำ)

รูปนี้คือผมแอบแม่ถ่าย (หัวเราะ) ไม่กล้าให้แม่เห็น แม่มาเห็นในไอจีทีหลัง คือแม่รู้แค่ว่าการถ่ายพวกนี้อยู่ในโปรเจกต์ 365 ถ่ายรูปทุกวัน แม่จะรู้ว่าไอ้โอมมันถ่ายรูปทุกวัน แม่ไม่ได้มายุ่งอะไรด้วยหรอก แบบไอ้โอมมันถ่ายรูปในห้องน้ำปล่อยมันไป แต่ผมไม่ได้บอกแม่ว่าผมกำลังเอามาม่าโยนเข้าไปในอ่างอาบน้ำ คือตอนผมถ่ายผมก็คิดนะว่ากูทำอะไรอยู่ (หัวเราะ)

คือรูปนี้ วันนั้นผมคิดไม่ออก ผมก็นั่งดูมีม มันมีคนที่เอามาม่าโยนเข้าไปเหมือนเป็นบาธบอมมาม่า ผมเอาไอเดียมาจากนั้นแล้วผมก็ลองทำดู ทำเสร็จก็ต้องล้างให้แม่ไม่งั้นเดี๋ยวแม่รู้ (หัวเราะ) บางอย่างมันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ แต่เราก็อยากรู้ว่าลิมิตมันอยู่ตรงไหน คนดูจะรับได้แค่ไหน ก็พยายามที่จะผลักไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากการฝึกฝนและความตั้งใจ มีประเด็นอื่นไหมที่อยากนำเสนอในซีรีส์ #365ohmanawat

คือถ้าอย่าง 365 เนี่ย  มันไม่ได้มีคอนเซ็ปต์อะไรมาครอบงานเลย มันมีแต่ว่าเราอยากทำพอร์ตเราอยากฝึกทักษะการถ่ายรูปให้มันต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แนวคิดมันเกิดมาจากว่าพอต้องถ่ายทุกวันภายในหนึ่งปีเนี่ย เหมือนมันต้องหาอะไรมาถ่าย พอมันถูกบังคับให้ถ่ายทุกวันมันกลายเป็นว่าเราต้องเอาเรื่องที่เราเจอในแต่ละวันมาใส่ อยู่ดีๆ บังเอิญกลายเป็นเหมือนหัวข้อหลักของเราไป เราไม่ได้ตั้งใจแต่แรกให้มันเป็นแบบนี้ แล้วพอสิ่งที่เจอทุกวันก็คือความฉิบหายของประเทศ มันเป็นข่าวเป็นอะไรหรือชีวิตประจำของเราที่มันน่าจะเอามาดัดแปลงมาเป็นไอเดียการถ่ายรูปได้ ส่วนใหญ่เป็นสองเรื่องนี้ครับชีวิตประจำวันกับข่าวสารที่เราเจอทุกวัน

ต้องบอกก่อนว่าผมไม่รู้มาก่อนว่างานผมมันคือการระบายความอัดอั้นในใจ ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนจนมาเจอพี่บี—วรวุฒิ สัจจะปรเมษฐ เจ้าของแกลเลอรีนี้ เขาบอกว่า การที่ด่าออกมาหรือระบายออกมามันคือปลดปล่อยให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่งั้นมันจะเครียดเกินมันจะกลายเป็นบ้าแน่นอน ซึ่งผมพิมพ์ด่าไม่เก่งผมก็จะด่าผ่านรูปแทน

เคยมีช่วงเวลาที่ความคิดมันตันบ้างไหม

เอาจริงมันตันยากระดับนึงเพราะว่าประเทศไทยมันมหัศจรรย์ มันจะมีข่าวที่ให้เราประหลาดใจมากๆ เฮ้ยมันมีแบบนี้ด้วยหรอ คือฝรั่งมาเที่ยวไทยคือคัลเจอร์ช็อก เราอาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามันประหลาดมากแต่ถ้าดูดีๆ มันประหลาด

ช่วยเล่าถึง #yourtrashasaportrait  โปรเจกต์ล่าสุดให้ฟังหน่อย 

พอจบ 365 ผมก็นั่งเปื่อยยับเลยครับ ทำแต่งานลูกค้า งานส่วนตัวช่างมันขี้เกียจ ซึ่งผมก็ไปนั่งดูซีรีส์เรื่องนึงมันมีตัวละครพูดขึ้นมาว่าถ้าคุณอยากรู้ว่าคนๆ นั้นเป็นยังไงให้ดูที่ขยะที่เขาทิ้ง มันมีแค่ประโยคนั้นขึ้นมา คือมันมีตัวละครหนึ่งคนที่หายไป แล้วก็ไปคุ้ยขยะ แล้วมันก็มีพวกใบเสร็จว่าคนๆ นี้เคยไปไหนมาบ้าง มันปิ๊งไอเดียว่าอยากลองถ่ายขยะดู มันก็เหมือนเป็นความต่อเนื่องของความ Cursed images ของผมอยู่ ปกติเราถ่ายอะไรที่มันสวยๆ งามๆ ถ่ายอะไรที่มันเพอร์เฟค อันนี้ย้ายมาถ่ายที่ผ่านกระบวนการการใช้งานมาแล้ว แล้วเราก็ลองให้คนส่งมาเลย ใครสนใจ ส่งมาเลยเริ่มที่ของผมก่อนเก็บมาสามวันแล้วก็ถ่ายให้เขาเห็นว่าเราจะเอามาทำแบบนี้นะ อันนี้คือความตั้งใจแรกที่จะสะท้อนว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นแบบไหนต้องใช้คำว่า น่าจะ เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันคือการเลือกแค่วันใดวันหนึ่ง เป็นแค่ช่วงเวลาใดเวลานึงแล้ว เขาเลือกมาส่งมาให้แล้วผมก็เป็นคนเลือกอีกทีนึง 

มันจะกลายเป็นว่าคล้ายๆ กับการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก มันเหมือนผมเป็นเพลตฟอร์มนึงให้คนโพสต์อะไรสักอย่าง เหมือนเราเล่นเฟซบุ๊กแล้วเป็นคนที่อวดก็จะมีแบบคนตั้งใจอยากจะอวด ผมดูขยะแล้วรู้เลยว่าคนนี้อยากอวด ผมรู้เดี๋ยวผมอวดให้คุณ หรือแบบบางคนที่โพสต์อะไรไร้สาระเรื่อยเปื่อยในชีวิตประจำวัน ก็จะส่งแบบไม่ได้ตั้งใจอวด ที่ไม่ค่อยมีตัวตนอยู่ในนั้นสักเท่าไหร่ก็จะมีอยู่เหมือนกัน หรือบางคนไม่ได้ตั้งใจอวดแต่ดูรู้ว่ามีของผมก็ต้องเป็นคนเลือกอีกทีนึง คือตัวเขาเองไม่ได้ตั้งใจหรอกว่าเขาจะโชว์อะไร แต่มันพอที่จะดูออกอยู่ว่ามีคาแรกเตอร์บางอย่างชัด ผมว่ามันคล้ายกับการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก แต่อีกมุมนึงผมมองว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กมันก็คือขยะ ไม่ว่าจะเป็นการอวดอะไรก็ตามแต่ มันไม่จำเป็นต่อชีวิตสักเท่าไหร่มันคือขยะนั่นแหละ ในเฟซบุ๊กในอะไรทุกอย่างเลย ก็เป็นอีกหนึ่งนัยแฝง แต่ผมก็ไม่ได้บอกคนที่ส่งเขามานะว่ามาอวดกันดีกว่า ให้เขาเล่นในแบบที่เขาอยากเล่น แล้วก็ตอนนี้วิธีการนำเสนอมันยังไม่นิ่ง ผมยังรู้สึกว่ามันต้องพัฒนามากกว่านี้อีก ตอนนี้มันแค่เอาขยะที่เขาส่งมาแค่เรียงๆ ผมว่ามันมีวิธีการเน้นที่มากกว่านี้ในอนาคต ณ ตอนนี้มันยังไม่ขนาดนั้น แต่ก็คิดว่าจะทำไปเรื่อยๆ ที่ไม่คิดวิธีให้จบก่อน ตั้งแต่แรกแล้วค่อยทำเพราะรู้สึกว่าน่าจะยาก เพราะผมต้องเป็นคนที่จะทำอะไรต่อเนื่อง มากกว่าการคิดให้จบแล้วเริ่มทำ มันจะคล้ายๆ 365 เลย ถ้าผมรอ ผมไม่ครบแน่นอน 365 ต้องทำไปก่อน ก็เลยใช้แนวคิดคล้ายๆ กัน พวกรูปแรกๆ มันอาจจะเสียไปเลยก็ได้ไม่ได้ใช้เลยก็ได้ในอนาคต ผมว่ามันต้องมีการเสียตรงนี้เกิดขึ้นก่อน 

แล้วรูปขยะพวกนี้มันมีความเป็น Still life มากกว่างานเซตก่อนไหม

ตรงนี้ต้องย้อนไปด้วยที่ผมบอกว่าไม่ชอบถ่ายคน ผมอยากถ่ายพอร์ตเทรตคนที่ไม่มีคนอยู่ในนั้น นี่คือพอร์ตเทรตของผมที่ถ่ายผ่านของ คือผมอยากถ่ายให้มันเป็นแบบชิ้นเดียวสวยๆ นิ่งๆ คอมเมอร์เชียลจ๋าเลย อยากให้มันเป็นสิ่งของอันเดียวสวยๆ สักอย่างแต่เรายังทำมันไม่ได้ มันไม่สวยขนาดนั้น คือตอนนี้คนที่ส่งมายังเป็นแค่กลุ่มไม่กว้างมากยังเป็นแค่วงใกล้ๆ ส่วนพวกคนใช้แรงงานเลยหรือคนรวยมากๆ อันนี้ผมยังฉีกไปไม่ได้ ผมคิดว่าต้องทำไปเรื่อยๆ ที่จะฉีกไปได้มันถึงจะอิมแพค ตอนนี้มันไม่อิมแพคเพราะวงมันใกล้ ขยะมันก็หน้าตาเหมือนๆ กัน ชนชั้นกลางอยู่ในเมืองขยะมันก็หน้าตาแบบนี้แหละ 

เหมือนโอมเคยพูดไว้ว่าไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยตั้งแต่เกิดมาจึงอยากทำโปรเจกต์ 365 และอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้มีความตั้งใจทำมันมาจนจบได้

มันได้จากอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษาให้ผมตอนทำธีสิส เพราะผมเป็นเด็กขี้เกียจจะชอบดองงานไว้ทำก่อนเดตไลน์ อาจารย์พูดว่างานมันควรที่จะทำวันละนิดวันละหน่อยแต่ไม่ควรทำเยอะ มันจะได้ประสิทธิภาพดีกว่าคุณมาดองแล้วตู้มเดียวก่อนเดตไลน์ คือมันอยู่ในใจมาตลอดว่าไม่เคยทำอะไรสำเร็จ มันรู้สึกว่าเป็นความรู้สึกของคนยุคผม ที่มันเห็นใครทำอะไรสำเร็จตลอดแบบที่สุดยอดไปเลย แต่เราไม่เคยได้อย่างเขาเลย เราอาจไม่สำเร็จขนาดเขาแต่เราอยากสำเร็จในเป้าหมายของเราให้ได้ด้วยแนวคิดที่เราทำทุกวัน อย่างน้อยที่จะเอาไปโม้ได้ว่ากูเคยถ่ายรูปทุกวันนะปีนึง อย่างน้อยมันเสริมสร้างความมั่นใจขึ้นมานิดนึง เพราะที่ผ่านมามันรู้สึกไม่เคยมีอะไรสำเร็จมาในชีวิต 

การที่ต้องถ่ายรูปทุกวันมีไหมบางครั้งที่เรารู้สึกเครียดกับมัน

ก็มีนิดหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นวันที่ถ่ายไม่ได้มากกว่า คือมันไม่ได้เครียดแบบว่าฉันจะต้องทำให้ดีที่สุด เพราะบางวันก็ขี้เกียจเหมือนเดิมนั่นแหละ บางรูปดูออกเลย หึหึ นี่ขี้เกียจ แต่นั่นแหละเราก็ไม่ได้เครียดขนาดกดดันขนาดนั้น อาจจะมีบางวันที่เราติดงานจะถ่ายอย่างไรให้ทันเนี่ย เราอาจต้องถ่ายสต๊อก ต้องไปต่างจังหวัดสี่วันต้องถ่ายให้ได้ในวันน้ัน ก็จะมีความเครียดแบบนั้นมากกว่าแต่ไม่ได้กดดันตัวเองว่างานเราต้องดีที่สุดในทุกๆ วัน 

ทั้งโปรเจกต์ก่อนหน้านี้และตอนนี้สามารถบอกเล่าความเป็นตัวตนของเราได้อย่างไรบ้าง 

จริงๆ ก็ที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่ามันไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าตัวเองอัดอั้นมากและต้องการที่จะระบายออกมาแล้วพอได้ทำมันทำให้เห็นว่าเราอยากที่จะระบายออกมา ไม่ว่าผ่านความเป็นไทยหรือความมีม จริงๆ เราไม่เคยสรุปตัวเองว่าเราชอบมีมมากๆ เลยนะ หรือเรามีความเป็นไทยประหลาดๆ รอบตัวเราเลยนะแล้วพอเราเอามาใช้บ่อยๆ เราได้ทำโปรเจกต์พวกนี้ขึ้นมาเหมือนได้ข้อสรุปแล้วว่าเรามีชุดข้อมูลพวกนี้อยู่ในตัวมาตลอด แต่ไม่เคยรู้มาก่อน พอได้ทำมันเลยรู้ว่ามันน่าจะต่อยอดงานเราในอนาคตได้ เฮ้ยเราจะหยิบพวกนี้แหละมาประกอบร่างกันแล้วเราเอาไปสร้างงานในอนาคตอีกทีนึง 

ความสุขของงานตอนนี้คือเรื่องอะไร

งานส่วนตัวมันมีความสุขอยู่แล้ว ทำเพื่อต้องการมีความสุข แล้วมันก็มีบางรูป ตอนแรกผมเข้าใจว่าผมเป็นคนชอบยอดไลก์เยอะๆ ปรากฏว่าบางรูปคนไลก์ประมาณ 20 เองนะ ไม่ว่าจะแฮชแท็กดีแค่ไหนก็ตาม รีชมันไม่ขึ้นเลย เราก็รู้สึกว่ามันไม่เห็นเป็นไรเลย คือยอดรีชมันมีมูลค่าแต่มันไม่มีคุณค่ากับผมขนาดนั้น คือผมรู้ว่าถ้าคนชอบเยอะๆ คนเห็นเยอะๆ มันน่าจะสร้างเงินสร้างอาชีพให้เราได้ แต่ว่าสุดท้ายมันไม่ได้มีคุณค่า ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นแค่รูปๆ นึงบนฟีดที่มีรูปอยู่มหาศาล แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันเติมเต็มใจเรา ซึ่งตอนที่คิดอยากทำคือไม่มีอะไรทำ มันโหวงเหวง การแค่ได้ทำมันก็มีความสมบูรณ์ในแบบของมันแล้ว

พิสูจน์อักษร: ชลดา สวนประเสริฐ