brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Jun 2025

ตาล - ธนพล แก้วพริ้ง
LOVE & FIRE
เรื่อง : กษิดิ์เดช มาลีหอม
ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
28 Sep 2022

“งานที่คนไทยเข้าไม่ถึงแต่ฝรั่งดันชอบ” ผมว่าประโยคนี้เหมาะที่จะแนะนำถึงตาล—ธนพล แก้วพริ้ง มันเหมาะทั้งในแง่ของการฟังดูประชดเสียดสีและในขณะเดียวกันก็เป็นคำชมถึงความคิดที่ล้ำหน้า เสมือนการสะท้อนเมสเสจจากงานผลงานส่วนตัวที่มาผ่านมาของเขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Love & Fire นิทรรศการภาพถ่ายโซโล่งานแรกของเขาที่ผมรู้สึกเหมือนเป็นการยืนดูกระแสน้ำของสารธารความคิดและอุดมการณ์ที่สั่งสมมาของตาล โดยใช้ไฟเป็นสัญญะของการเปลี่ยนผ่านและเป็นความรุนแรงที่กระทำต่อสิ่งๆ หนึ่งแต่ก็ไม่อาจลบล้างมันได้ มันยิ่งสะท้อนถึงรากที่หยั่งลึกของชุดความคิดความเชื่อบางอย่างที่อยู่ในสังคม

ไม่บ่อยที่เขาจะให้สัมภาษณ์กับใคร นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะรับรู้ถึงเบื้องหลังความคิดและตัวตนในผลงานชุดนี้และลงลึกไปในประสบการณ์การทำงานอันโชกโชนทั้งในสายงานแมกกาซีน งานภาพถ่ายแฟชั่นและคอมเมอร์เชียลจนไปถึงงานวิดีโอที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ประกอบสร้างตัวตนเขาในวันนี้

ยุคแมกกาซีนครองเมือง

“ความรู้สึกแรกที่ได้เริ่มใช้กล้องเหมือนเราได้เอาเรื่องราวที่มันมีภาพในหัวของเราออกมาได้ประมาณนึง ก็เลยรู้สึกตื่นเต้นกับมัน”

ตาลเริ่มต้นนับหนึ่งกับการถ่ายภาพเมื่อครั้งที่เขาเรียนอยู่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ตอนแรกเขารู้จักคณะโบราณคดี ด้วยภาพยนตร์ผจญภัยขวัญใจมหาชนอย่างอินเดียน่าโจนส์และประกอบด้วยความสนใจส่วนตัวที่มีความชอบในวิชาประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม ซึ่งตอนแรกหมายมั่นว่าจะเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์แต่ดันสอบตรงติดเอกโบราณคดีที่คณะโบราณคดีก่อน การถ่ายรูปนั้นเข้ามาทักทายตาลก็ในช่วงตอนที่เขาต้องไปงานภาคสนามหรือเรียกอีกอย่างว่าฟิลด์ทริป ที่ต้องมีการถ่ายรูปสิ่งของเพื่อทำทะเบียนวัตถุ 

ในยุคสมัยที่เขาเติบโต คือ ยุคสมัยของแมกกาซีนครองโลก สื่อสิ่งพิมพ์ที่เรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจทางวัฒนธรรมและความคิดเลยก็ว่าได้ เช่นกันตาลก็เป็นเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ชอบเสพความสดใหม่จากสิ่งนี้ โดยหลังจากเรียนจบเขาได้เอาพอร์ตโฟลิโอที่เคยชนะการประกวดไปยื่นสมัครงานที่แรก

“เราทำพอร์ตโฟลิโอมา เหมือนอาจจะเป็นโชคดีตอนนั้น มันเป็นยุคทองของการทำแมกกาซีน หื้ม! บ้าคลั่งอู้ฟู่มาก คือใครก็อยากทำแมกกาซีน เด็กเรียนวารสาร เด็กเรียนนิเทศ ทุกคนอยากทำแมกกาซีน อยากเป็นช่างภาพ ก็มีที่แพรวสุดสัปดาห์จัดเหมือนเป็นแคมเปญหนังสือทำมือ เป็นหัวข้อเกี่ยวกับแฟชั่น เราก็ส่งงานไป แล้วสุดท้ายมันชนะได้เข้ารอบ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งเริ่มทำพอร์ตโฟลิโอแล้วเอามาสมัครหลังจากเราเรียนจบ”

แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องการทำงานสักเท่าไหร่กับแมกกาซีนหัวแรก เหตุด้วยสไตล์การถ่ายภาพแนวสแนปที่เจ้าตัวบอกว่าก็เหมือนการแคปเจอร์โมเมนต์ของช่างภาพหลายคนในพ.ศ. นี้ เพียงแค่ตอนนั้นยังไม่ถูกยอมรับ 

“ถ้าถามว่ารู้สึกจริงจังกับงานภาพถ่ายเมื่อไหร่ น่าจะเป็นช่วงที่เข้ามาทำแมกกาซีนชื่อ Wallpaper* แมกกาซีน ตอนหลังจากเรียนจบแล้วก็ทำงานที่แรกไปแล้ว ที่แรกชื่อ DNA แมกกาซีน มันเป็นเหมือนเป็นแมกกาซีนแฟชั่น เป็นแนวแฟชั่นครีเอทีฟหน่อย หมายถึงอาร์ตไดเรกชันมันจะค่อนข้างแตกต่างกับหนังสือในเจนเดียวกัน กราฟิกอะไรก็เท่เลยแหละ ก็ได้ทำอยู่แปปนึงแล้วก็ออกมา ช่วงที่ทำก็สมัยก่อนมันจะมีถ่ายข่าวสังคม เวลาไปอีเวนต์ออกงานต่างๆ ตอนเราไปถ่ายเราใช้กล้องคอมแพคไปถ่ายสแนปๆ เหมือนสมัยนี้แหละสแนปมู้ดของมัน แต่ช่วงเวลานั้นมันใช้ไม่ได้ เพราะเวลาคนไปงานมันต้องยืนเรียบร้อย คือจะไปเห็นหน้าเขาตอนเมาตอนเหวอไม่ได้ พอเราถ่ายอย่างนั้นมันก็โดนด่า ด้วยความที่เราเด็กจบใหม่มันก็จะมีความไฟแรง ยังคิดไม่ได้รอบด้าน มันก็มีความต่อต้านเขา มันก็ทำให้ไม่มีความสุขก็เลยลาออก แต่ระหว่างนั้นก็ได้เรียนรู้เยอะนะครับ ได้เห็นกระบวนการของการโปรดักชัน ถ่ายแฟชั่น ถ่ายสติลไลฟ์ ถ่ายแพคชอต เพราะเวลา ทำแมกกาซีนสมัยก่อน ถ้าเป็นสเตป ชัดๆ ก็คือช่างภาพเริ่มจากงานสังคมไปถ่ายข่าว แล้วก็ได้เริ่มถ่ายคอลัมน์เล็กๆ น้อยๆ ถ่ายของบ้าง ถ่ายสติลไลฟ์ ก็เริ่มมีการจัดวางจัดพร็อพ แล้วก็ถ่ายสัมภาษณ์ แล้วก็ค่อยมาเป็นคัฟเวอร์ของปกแฟชั่นเซต ซึ่งเราก็ได้เห็นโพรเซสทั้งหมดมันก็เลยซึบซับเข้ามา จริงๆ การถ่ายรูปเอง ตัวมันเองมันไม่ได้ลำบาก แต่การพาตัวเราเข้าไป ณ จุดที่เราจะเอาคอนเทนต์หรือโพรเซสของการโปรดักชันหนึ่ง สอง สามต้องทำยังไง อันนี้สำคัญครับ

ช่วงที่ก่อนจะเข้ามาทำงานที่ Wallpaper* ตาลได้พักตัวเองจากการทำงานแมกกาซีนไประยะหนึ่งด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่าเขาเองจะบอกกับเราว่าสิ่งที่ทำให้เข้าหาแมกกาซีนแฟชั่นในตอนนั้นก็เพราะความเฟี้ยวฟ้าวและความสนุกที่มันมอบให้ได้ไม่เหมือนแนวอื่น แต่ตัวเขาพักได้ไม่นานก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมหมายงานจาก Wallpaper* มาถึงเจ้าตัวเสียก่อนที่จะตัดสินใจออกเดินทางไกลและ ณ ที่ Wallpaper* แมกกาซีนแห่งนี้เองคือส่วนสำคัญที่ประกอบร่างให้เป็นตาล ธนพล ผู้กำกับและช่างภาพอิสระฝีมือหาตัวจับยากที่เรารู้จักในตอนนี้ 

“พี่ที่เป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของหนังสือที่กำลังจะเปิดแกชื่อพี่หมู นนทวัฒน์ เจริญชาศรี แกก็กำลังหาช่างภาพเหมือนกันแต่ว่าตอนนั้นแกทำบริษัทดีไซน์ด้วย แกทำออกแบบปกอัลบั้ม ปกเทป ปกซีดี แกก็ใช้ช่างภาพถ่ายปกคัฟเวอร์ต่างๆ แล้วสุดท้ายไปๆ มาๆ แกก็ตัดสินใจให้เราไปเป็นช่างภาพประจำที่ Wallpaper* ช่วงเวลานั้นมันจริงจังมากๆ คือเราอ่านหนังสือของ Wallpaper* อยู่แล้ว เรารู้ว่าสเกลของคุณภาพมันขนาดไหน เขาก็จะมีไบเบิลเป็นแบรนด์บุ๊คมาว่าไดเรกชันของหนังสือเป็นยังไง แล้วตอนนั้นเราใช้กล้อง 120 มีเดียมฟอร์แมตไม่เป็นเลย ซึ่งมันจำเป็นในอุตสาหกรรมพับลิชชิ่ง ถ่ายมาไปดรัมสแกนแล้วพิมพ์ลง ก็เริ่มใช้กล้อง เริ่มใช้ไฟ ก็ครูพักลักจำแล้วเราไม่รู้จะคุยกับใครด้วย เราไม่ได้เรียนมาโดยตรง ไม่ได้มีแก๊งเพื่อนที่เป็นช่างภาพเป็นกลุ่มก้อนอะไรขนาดนั้นก็มีพี่ที่รู้จักกันบ้างแต่มันก็ไม่ได้ตอบโจทย์ในสิ่งที่เรากำลังจะทำ มันก็ต้องขวนขวายในเวลาเราไปโปรดักชันหรือไปเจอผู้ช่วยช่างภาพในสตูดิโอเก่งๆ ก็เรียนรู้จากตรงนั้น อย่างตัวผมเองผมเชื่อว่าการจัดการในอุตสาหกรรมพวกงานโปรดักชันหรือคอมเมอร์เชียล การจัดการ การลำดับงานมันสำคัญก็เลยมองหาตรงนั้นว่า ตำแหน่งไหนเป็นตำแหน่งไหน เราเข้าไปจะเรียนรู้อะไร เอาจริงๆ ทุกวันนี้ให้เราไปจัดไฟเองเราก็ทำไม่ได้ แต่เราบอกภาพรวมได้เพราะเราไม่ได้ทำบ่อยเหมือนผู้ช่วยมืออาชีพเราเป็นเหมือนไดเรกเตอร์ที่คอยคุมทีม คอยมองภาพรวมทีม”

หลังจากฝึกวิชาสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลานาน ตาลก็ถือโอกาสร่ำลามาตั้งต้นบทชีวิตบทใหม่กับการเปิดบริษัทของตัวเอง ในวงการงานคอมเมอร์เชียลทุกคนจะรู้จักชื่อของตาลเป็นอย่างดีในฐานะผู้กำกับ ซึ่งส่วนตัวผมก็คิดว่ามันน่าสนใจไม่น้อยที่ช่างภาพที่มีผลงานผ่านคอนเซ็ปต์ที่สุดโต่งแบบนี้ ในโลกอีกด้านกับการทำงานกับลูกค้า เขานั้นมีวิธีทำงานอย่างไรให้ออกมาได้ดีที่สุดท่ามกลางจิตวิญญาณความขบถภายในของตัวเอง 

ถ้าเปรียบผลงานส่วนตัวมีตัวตนเราอยู่ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วงานลูกค้าจะมีสัดส่วนของตัวตนเราเท่าไหร่ยังไงบ้าง ผมถาม

“ช่วงที่เราทำงานใหม่ๆ เราก็พยายามใส่ตัวเราเข้าไปมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว กลัวอย่างนั้นกลัวอย่างนี้ กลัวมันไม่เท่ ก็จะมองในมุมของเราฝ่ายเดียว แบบก็ เฮ้ย…มึงเดี๋ยวก่อน นี่คือเรารับจ้างทำให้เขานะเว้ย แล้วมันก็จะเกิดปัญหาโดยใช่เหตุแทนที่จะไปคุยแล้วหาคำตอบออกมาว่างานที่ดีจะออกมาเป็นอย่างไร หมายถึงงานดีที่ที่เราทำให้ลูกค้า แน่นอนมันจะต้องเกิดผลประโยชน์ต่อลูกค้าที่เขามาจ้างเราและเป็นงานที่มีคุณภาพด้วย ช่วงแรกเราก็ไม่ได้คิดถึงมัน แต่พอเราทำงานสักพักเราก็เข้าใจจริงๆ เขาเลือกเราเพราะเรามีตัวตนอย่างนั้นอยู่แล้วในแง่ใดแง่หนึ่ง แม้กระทั่งงานคอมเมอร์เชียลที่ใครถ่ายก็ได้มันก็จะมีตัวตนที่เขาอยากทำงานด้วยซึ่ง มันไม่ได้จำเป็นต้อง เฮ้ย…มึงถ่ายรูปสวยรึเปล่าวะ อันนั้นคือปลายทาง

งานที่คนไทยเข้าไม่ถึงแต่ฝรั่งดันชอบ

ตาลอาจจะเหมือนช่างภาพหลายคนที่ทุ่มเวลาที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไปกับงานคอมเมอร์เชียลจนหลงลืมงานส่วนตัวไป แต่ช่วงปีค.ศ. 2010 ที่ผ่านมาเขาก็ได้คำตอบในใจที่ชัดขึ้น เมื่อครั้งที่ มานิต ศรีวานิชภูมิ ชวนเขาทำงานจัดแสดงครั้งแรก และระหว่างทางก่อนที่จะถึงผลงานล่าสุด Love & Fire เขาได้เคยจัดแสดงผลงานทั้งในประเทศไทยและต่างปะเทศ เช่น นิทรรศการ ASEAN-Korea Contemporary Photo Exhibition, นิทรรศการ Bangkok’s Month of Photography รวมถึงงาน Bangkok Design Week และงาน Hotel Art Fair

ส่วนตัวมีคนเคยพูดว่างานคุณค่อนข้างที่จะล้ำหรืออาวองการ์ดไหม ผมถามเขาไปด้วยความมั่นใจว่าอย่างไรคำตอบก็คงต้องมีแน่นอน แต่การอธิบายต่อจากการยอมรับนั้นคือสิ่งที่แท้จริงที่ผมต้องการฟังจากเขา

“มีๆ มีบ่อยเลย ถ้าให้มองงานตัวเองก็พูดลำบาก เพราะมันเกิดจากความพึงพอใจที่เราสร้างขึ้นมา ที่มันไม่ได้ตั้งอยู่บริบทว่ากูจะทำงานให้มันล้ำนะเว้ย อย่างงานกล่องไฟทำเมื่อ 10 ปีที่แล้วไม่มีใครพูด มันเพิ่งมาฮิตไม่นานมานี้ มันจะมีปัญหาล้ำไปลูกค้าไม่จ้าง อาร์ตไปลูกค้าไม่จ้าง ชอบมากนะชอบๆ แต่ไม่ขาย มันเป็นภาพลักษณ์ออกไปมากกว่า ในพอร์ตโฟลิโอเราแบ่งเป็นหมวดเพียบเลย แต่พองานมันแบรนด์ดิ้งเราไปแล้ว มันแปะหัวไปแล้วก็จะลบยากนิดนึง โดยปกติเวลาแบ่งช่างภาพเขาก็จะแบ่งตามสไตล์ แบ่งตามหมวดหมู่งาน ซึ่งส่วนตัวเราไม่ได้แบ่งตัวเองขนาดนั้นอ่ะ หากแบ่งก็คงจะง่ายกว่านี้ก็ได้ ก็ไปถ่ายแบบอสังหาฯ อย่างเดียวโกยตังให้คนมันรู้ว่ากูถ่ายอย่างนี้อย่างเดียว พอทำสักพักนึงก็เบื่อ เราทำเพราะเราชอบมากกว่าและมันไม่ได้จำกัดสไตล์ จะต้องเป็นช่างภาพแฟชั่นอย่างเดียว เป็นสติลไลฟ์อย่างเดียว แต่ว่ามันมีหลักของมันอยู่ มีไดเรกชันของมันอยู่ ต่อให้เราไปถ่ายสติลไลฟ์ แลนด์สเคป แฟชั่น พอร์ตเทรต มันก็ยังมีหลักของเราอยู่ หมายถึงมู้ดของมัน

ชีวประวัติบนเว็บไซต์รวมผลงานของตาลเขียนบอกไว้ว่าในงานภาพถ่าย เขานั้นชอบหยิบจับวัสดุธรรมชาติและสิ่งที่สร้างขึ้นให้มาอยู่ด้วยกันในฉาก ซึ่งสไตล์งานลักษณะนี้ก็เป็นฐานความคิดของการเล่าเรื่องในนิทรรศการล่าสุดของเจ้าตัวด้วย

“รู้สึกว่าคนเราธรรมชาติชอบบังคับบางอย่างให้เป็นอีกอย่างนึง จริงๆ มันก็บังคับธรรมชาติ อย่างการสร้างบ้านในแง่ของการดีไซน์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพื่อสนองความต้องการ ก็จะเหมือนงานกล่องที่มีไฟข้างใน จริงๆ เซตนั้นมันมีประมาณ 7 รูปเดี่ยวกับอีลิเมนต์ต่างๆ ที่ไม่ควรจะถูกกักขังพวกไฟ แสง ควัน น้ำ คลื่น อะไรพวกนี้ ก็ลองเอามาทำเป็นงานโฟโต้เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เรารู้สึกถึงอะไรพวกนี้” 

The Entrapment © Tanapol Kaewpring

ก่อนหน้าที่จะได้จัดงานนิทรรศการ ตาลได้วางขายผลงานในคอลเลกชัน The Entrapment บนแพลตฟอร์ม NFT และได้รับความสนใจจากต่างชาติเป็นจำนวนมาก ผมจึงไม่รีรอที่รุกถามเขาไปตรงๆ เลยว่าคิดว่าทำไมฝรั่งถึงชอบงานของเขา 

“โฟโต้ด้วยตัวมันเองก็ขายยาก มันเป็นมีเดียที่คนรู้สึกว่าใครทำก็ได้มั้งหนึ่งเลย แล้วมันเข้าถึงง่าย แต่สำหรับงานที่เราทำมันอาจไม่ใช่งานที่ถูกจริตมากกว่า เป็นเรื่องของรสนิยมมากกว่า มันอาจจะไปโดนจริตของข้างนอกมากกว่าข้างในบ้านเรา บ้านเรามันมีมายาคติเยอะไง อย่างสมาคมช่างภาพมันก็ยังมีความคอนเซอเวทีฟหรือตอนนี้อาจจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่การรับรู้ทั่วไปคือ พระ วัด วัง วิถีชีวิตในรูปแบบที่มันสวยงามอย่างหยดย้อย หรือแม้กระทั่งพยายามจะสตรีท ก็เป็นสตรีทที่เรามองว่ามันเป็นก๊อปปี้แคต คืองานดีๆ ก็เยอะแต่บางอย่างเป็นแพตเทิร์นไปมันเลยไม่สนุก แล้วก็มันมีการเซ็นเซอร์ชิปในตัวเองค่อนข้างเยอะ ไม่ได้ง่ายที่จะเปิดรับหรือไม่ได้เปิดตัวเองขนาดนั้น ทั้งในแง่ของคนทำและคนเสพด้วยซึ่งบางครั้งเราก็เป็น ปกติอย่างในวงการแฟชั่นเองก็เคยได้ยินไหม ถ่ายเจ๋งเหมือนฝรั่งเลย… ถามว่านั่นคือคำชมหรือคำอะไรวะ นึกออกไหม” 

เหมือนเขาทำท่านึกอะไรบางอย่างอยู่ก่อนเอ่ยถึงคำถามที่ผมถามเขาไปก่อนหน้านี้

“จริงๆ เราก็อยากคุยเรื่องล้ำๆ นะ แต่คนมันยังติดกับสิ่งพวกนี้อยู่ มันไม่มีทาง แต่จริงๆ มันอาจจะเป็นคำตอบของเต้ย (ผู้เขียน) นะ ที่ถามว่าทำไมคนไทยไม่อินงาน มันกลับไปที่การเรียนรู้ พูดแล้วมันจะดูหล่อไป แต่แค่รู้สึกว่าเป็นเรื่องของการเปิดกว้างมากกว่า แล้วมันก็กลับมาถามว่าแล้วคนจะเปิดกว้างได้ยังไง มันก็ต้องมาจากการศึกษารึเปล่าที่จะทำให้คนเปิดกว้าง” 

ถึงตรงนี้ผมได้แลกเปลี่ยนกับเขาในมุมมองต่อประเด็นนี้ว่า ที่เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ขึ้นมาเพราะเป็นเรื่องของการเข้าถึงทุนและสะสมทุน ทุนในที่นี้เป็นได้ทั้งการศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ ทุนทางสังคม องค์ประกอบพวกนี้มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสร้างรสนิยมของมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการสะสมทุนต่างๆ แต่ก็อยากให้เข้าใจว่าทุกรสนิยมไม่สามารถวัดความผิดถูกหรือดีเลวได้

“คือไปว่าเขาไม่ได้ คือเรื่องมันใหญ่เกินกว่าที่จะตัดสินว่าเขามีรสนิยมหรือไม่มีรสนิยม เพราะเหมือนที่เต้ยบอกมันต้องเกิดจากการสั่งสม บ่มมา เหมือนบ้านนี้ทำครัวอาหารจากชาววัง มันมีไม่เยอะหรอกที่จะกระโดดออกมาสู่ความคิดแบบอื่นด้วยตัวของมันเอง บางพวกต่อให้มันมีรสนิยมที่ดี มีการศึกษา มีความรู้ แต่เอาง่ายๆ เรื่องความเป็นคนรู้อะไรบ้างแค่นี้กับอะไรบางอย่างที่เราต้องกราบเท้าและเรายังเชื่อความคิดชุดนั้นอยู่ มันก็จะย้อนแย้งกัน พอมันเกิดการย้อนแย้งกัน มันก็ไม่ได้ถูกพัฒนา 

อย่างทำงานคอมเมอร์เชียลเห็นชัดเลยมันสะท้อนความเป็นคนในแง่ของทุนนิยม ต้องยอมรับว่าเราหนีทุนนิยมไม่พ้น มันสะท้อนได้ดีมาก มันสะท้อนแม้กระทั่งความไม่เสมอไป คุณมีการศึกษาดี รสนิยมดี จะทำงานดีออกมาได้ไหมมันไม่เกี่ยว นั่นเป็นเรื่องของปัจเจกล่ะ แต่อย่างน้อย ในภาพรวมที่รัฐควรจะต้องสนับสนุน ตอนนี้มันอาจจะมีอยู่แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามันมีการศึกษาที่ดีอย่างสิงคโปร์จาก 5 เปอร์เซ็นต์อาจจะกลายเป็น 80 เปอร์เซ็นต์มันต่างกันเยอะนะ แสดงว่ามันสร้างขึ้นได้ มันสร้างการรับรู้และคุณค่าขึ้นมาได้ เพราะทุกอย่างมันถูกสร้างขึ้นมาได้ แต่เพียงตรงนี้มันถูกบล็อกไม่ให้สร้างเท่านั้นเอง”

ยิ่งคุยกันถึงเรื่องนี้ก็เหมือนเอาน้ำมันราดบนกองไฟ ในบทสนทนาเราทั้งคู่ไม่ได้มีการกั๊กของแต่อย่างใด เพราะปัญหาที่พูดถึงกันมันทิ่มแทงอยู่เต็มตาซึ่งก็ยากที่จะหนีพ้น โดยเฉพาะตอนที่เจ้าตัวทำงานคอมเมอร์เชียลได้เจอเรื่องประมาณที่ว่าทำไมต้องใช้นางแบบฝรั่งถ่ายเท่านั้น ด้วยเหตุผลสรีระว่าโครงหน้าไม่บานหรือหน้าไม่กลมบ้าง ทำให้เห็นว่าเรื่องมายาคติความงามในวงการนี้มีมาโดยตลอด ซึ่งกับดักนี้ก็ส่งผลต่อความหลากหลายในการทำแมกกาซีนที่ลุกเหมือนไฟลามทุ่งที่ทำให้ยุคของแมกกาซีนต้องพังทลายลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เขามองคนรุ่นใหม่รับไอเดียจากพินเทอเรสและโซเชียลแพลตฟอร์มอื่นมันก็ไม่ได้แตกต่างกับคนในยุคสมัยเขาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสื่อที่มีในยุคนั้น เขาจึงไม่เข้าใจคนรุ่นก่อนบางกลุ่มว่าทำไมคำว่า ‘แต่ก่อน’ จึงเป็นเรื่องที่ดีกว่าและบริสุทธิ์กว่า

“หนังสือเองก็ต้องยอมรับสภาพนี้ด้วยที่ทำให้ความหลากหลายมันหายไป พอถึงจุดนึงเราก็เข้าใจว่าตัวมันเองต่างหากที่ทำลายตัวเองด้วย แน่นอนการดิสรัปจากข้างนอกมันมีผล แต่ถ้าคุณยืนหยัด เอาง่ายๆ ดูอย่างสื่อแฟชั่นบางอันในยุคนี้ยังมองความเป็นไทยในการรับรู้เดิมอยู่เลย

ช่วงท้ายๆ ที่เราทำแมกกาซีน จริงๆ ถ้าได้ลองไปคุยกับช่างภาพหรือผู้ใหญ่ เขาก็จะเออออโปรดักชันมันเจ๋งกว่า เด็กสมัยนี้มันอาจจะไม่เนี้ยบ มันก็มีคนประมาณนึงที่คิดแบบนี้ เฮ้ยเดี๋ยวก่อน คุณลืมไปรึเปล่าว่ากระบวนการมันไม่ได้ต่างกัน แต่แค่มีเดียกับเครื่องมือมันเปลี่ยนไป แต่ก่อนสิ่งที่คุณทำก็เปิดเทรนด์บุ๊ค เปิดหนังสือออฟฟิเชียลที่เดินรันเวย์ แล้วก็แคปคอนเทนต์ ใช้รูปเขามาแปะคอลลาจ ต่างกันตรงไหนวะ มันไม่ได้หมายความว่ายุค ‘80s หรือ ‘90s ของคุณแม่งดีกว่านี้ ส่ิงที่คุณเอามาก็เหมือนกับเด็กที่หยิบจากพินเทอเรส หยิบจากไอจี เฟซบุ๊ก หลักมันเหมือนกัน มันไม่ใช่ออริจินัลครีเอเจอร์ที่คุณทำขึ้นมาเอง คุณก็ก๊อปปี้เพลทแต่เป็นรูปแบบของการดรัมสแกน

Love & Fire

เวลามีคนนำเสนองานของตาล มักจะพูดถึงเรื่องเนื้อหาในงานที่มองเพียงสัมผัสแรกก็สามารถรับรู้ได้แล้วกำลังพูดถึง ‘เรื่องการเมือง’ ด้วยบุคลิกของเขาต่อการเป็นปฏิปักษ์ต่อส่ิงที่อยู่อย่างเป็นสุขแต่หลายคนเลี่ยงจะพูดถึง ประกอบกับด้วยเทคนิคการสร้างงานและสไตล์ของตาลทำให้งานของเขามีความเสมือนจริงและความฝันในเวลาเดียวกันเกิดเป็นสภาวะสุญญากาศที่เปิดให้ใครๆ คิดตามต่อได้ 

“มันอาจจะเป็นแค่ส่วนนึงที่พูดถึงและที่พยายามหยอดไป แต่เมสเสจมันไม่ได้พูดตรงๆ มันเป็นในเชิงของสัญญะมากกว่า ซึ่งเป็นความต้องการของเราอยู่แล้ว แต่มันไม่ได้ออกมาเยอะออกมาบ่อย พอกลับมาทำงานใหม่ก็พยายามพูดถึง อาจจะไม่ได้เจาะลงไปในรายละเอียดสังคม การเมือง หรือสถาบัน ที่ชัดเจนขนาดนั้น แต่พูดคลุมๆ ว่าเหมือนเป็นการเล่าที่มีสัญญะของมัน ซึ่งส่วนตัวเราก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการคิดและปกครองในระบบสถาบันครอบกะลานี้ตั้งแต่แรก ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เราแค่ไม่ได้รู้สึกว่าความรุนแรงต้องปะทะด้วยความรุนแรง แต่มันจำเป็นต้องมีนะ แต่มันไม่ใช่ส่วนของงานที่เราทำ เราค่อยๆ คุยกันได้เมื่อไหร่ที่เราไม่คุยมันก็ไม่จบ พวกของฟืนไฟมันเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า มันอาจเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ไม่ได้เป็นภาพชัดเจนขนาดนั้น”

Love & Fire เป็นนิทรรศการภาพถ่ายโซโล่ครั้งแรกของตาล คอนเซ็ปต์ที่ชวนปอกเปลือกจิตสำนึกของมนุษย์ โดยการใช้ไฟเป็นสัญญะ ที่มีนัยยะของการสร้างและทำลายอยู่ในตัวเองมาเป็นสื่อกลางท้าทายถึงเรื่องความเชื่อ ความรัก ความภักดีต่อสถาบันหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รวมไปถึงการใช้ไฟเป็นบันไดสู่การเปลี่ยนสถานะแห่งตัวตน งานของตาลชุดนี้จึงเป็นการชวนขบคิดถึงสิ่งที่ดูตั้งอยู่แน่แท้ถาวรนั้นสุดท้ายแล้วคือคำโกหกหรือเรื่องจริงกันแน่

“งาน Love & Fire จริงๆ มันก็ต่อยอดมาจากงาน The Entrapment กล่องไฟ แล้วก็ค่อยๆ ขยายร่างมันออกมาจนรู้สึกว่าแบบงานนี้มันพูดถึงเรื่องการแปลงร่างเหมือนทุกคนอยากแปลงร่าง อยากเปลี่ยนสถานะตัวเอง ก็เลยใช้ไฟเป็นตัวเชื่อมมันในบางชิ้นงานในชิ้นงานหลักๆ แต่ก็จะมีชิ้นงานอื่นที่มาขยายความมันด้วย ทำไปทำมามันกลายเป็นเรื่องของความเชื่อ เรื่องของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องประมาณนึงเพราะว่าการทำให้บางอย่างมันศักดิ์สิทธิ์มันก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่เราเคารพรักก่อนแล้วมันก็ค่อยๆ ไปสร้างคุณค่ากับสิ่งที่หยิบยืมมาใช้ต่อในการสร้างลำดับขั้นตอน ลำดับความศักดิ์สิทธิ์ หรือการชำระล้างเพื่อจะเปลี่ยนตัวตน เหมือนคนทรงเจ้าเข้าทรงเหมือนทุกคนอยากแปลงร่างหมด อยากแปลงร่างเป็นสิ่งที่มันมีอำนาจเหนือกว่าตัวเอง สิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ แม่งคือการอุปโลกน์ แล้วก็มันมีความตลกบางอย่าง มันมีงานบางชิ้นที่จัดแสดงเราเอารูปหล่อของพระมาแล้วก็เอามาเซตติ้งถ่าย ซึ่งเราจะทำอะไรมันก็ได้ เพราะตอนไปซื้อเขาก็ไม่ได้ถามว่าจะซื้อไปทำอะไร คือพอยต์มันตลกมาก คือหากยังไม่มีพาวเวอร์ก็ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่ายังไม่ผ่านการปลุกเสก ไม่ผ่านพิธีกรรม ถามก่อนว่าคนปลุกเสกคือใคร ก็คือสมมติสงฆ์นะ ขนาดคนทำยังสมมติว่าตัวเองเป็นสงฆ์เลย เพราะมันไม่มีสงฆ์ที่แท้จริง คือสงฆ์ที่แท้จริงมันวัดกันไม่ได้ มันเลยมีคำที่เกิดขึ้นว่าสมมติสงฆ์ แล้วจริงๆ เราไม่เรียกว่าสงฆ์ เราเรียกว่าภิกษุคือผู้ขอ อุปโลกน์ว่าตัวเองเป็นสงฆ์ แล้วคิดดูดิ สิ่งที่แม่งดูเฟค มาทำอีกสิ่งที่แม่งเฟค แล้วทำให้มันเฟคแล้วพาวเวอร์ฟูลขึ้นยิ่งกว่า อยู่ดีๆ วันนึงคนธรรมดาเหมือนกันถูกอุปโลกน์ขึ้นมาว่าให้เป็นพระเจ้า ให้เป็นเทพเจ้าองค์นั้นองค์นี้อุปโลกน์ไปเอง” 

ฟังแล้วเหมือนเห็นวิชาโบราณคดีอยู่ในงานชุดนี้ ผมเสริม เพราะโบราณคดีคือการศึกษาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ทั้งเชิงวัตถุและเรื่องเล่า สิ่งที่ถูกส่งต่อมาจากอดีตจนถึงตอนนี้ 

“มันน่าจะเป็นวิธีคิดมากกว่า จริงๆ แล้วพอเรารู้ที่มาของมัน แต่ถามว่าเราไปแบบทำลายล้างมันหรือล้มล้างมันได้ไหม มันฝังไปข้างในจนเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เราก็ต้องยอมรับว่าอันนี้คือรูปแบบที่มันเป็นอยู่ ก็คุยกับคิวเรเตอร์ว่าสุดท้ายงานที่ออกมาไม่ได้อยากจะต้องตะโกนขนาดนั้น สุดท้ายมันต้องรอเวลาและสุดท้ายมันต้องคุยกัน มันไม่เกี่ยวหรอกกับ 1 เปอร์เซ็นต์ข้างบนเพราะไม่มีทางเปลี่ยนอยู่แล้ว ถึงจะตายจากไปก็เป็นแค่การเปลี่ยนหัวโขนงอกใหม่ได้อยู่ดี ต่อให้ไม่ใช่ 1 เปอร์เซ็นต์ในละครเรื่องนี้แล้วก็จะมีอย่างอื่นมาอยู่ดี เพราะผลประโยชน์มหาศาลมันไม่มีวันจบ อีก 99 เปอร์เซ็นต์ก็ต้องควรมาคุยกันดีกว่าพวกเราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับพวกที่อยู่ข้างบนเลย สิ่งที่เกิดขึ้นถ้าเราคุยเรื่องความเป็นคนมันจบตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเราก็คงไม่อยากทะเลาะกับพ่อแม่เราหรอก เอาจริงๆ มันเป็นเรื่องบูลชิต สุดท้ายเราต้องคุยกับคนที่เรารัก มันก็ต้องเคารพกันสุดท้ายแม้เรามองว่าไอ้นี่แม่งหลงไป เราก็ต้องเข้าใจว่ามันก็มีเหตุผลของเขาที่เขาเลือก แต่ทำยังไงก็ได้ให้ความเป็นคนมันไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้ มันไม่ถูกลดทอนไปมากกว่านี้ ขอแค่นี้” 

พอตาลพูดจบเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดวิดีโอของ Somewhere Magazine ที่ทำงานร่วมกันตอนตาลได้นำคอลเลกชัน The Entrapment ลงขายใน NFT ในวิดีโอเป็นการตัดรวมเรื่องราวหน้าเซตติ้งและเบื้องหลังของงานมาโชว์ โดยขณะที่ผมกำลังมองดูไฟที่ลุกท่วมอยู่บนสะพานร้างแห่งหนึ่งที่มีน้ำท่วมล้อมรอบ เขาพูดเสริมขึ้นมาว่า “พยายามเผาอะไรบางอย่างที่เรารู้อยู่แล้วว่าทำลายมันไม่ได้” 

images
images
images
images
images
images
images
images
images
พิสูจน์อักษร: ชลดา สวนประเสริฐ