brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Mar 2024

แพร - รัมภาพร วรสีหะ
The Portraits Through My Eyes
เรื่อง : มายา เซเยอร์ส
ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
12 Nov 2021

จากความไร้ตัวตนสู่ตัวตนที่ตามหา

“ทุกอย่างมันเริ่มจากตอนมัธยมปลาย มันเป็นช่วงที่เราไม่มีตัวตนเลยน่ะ พอนึกออกไหม” แพร – รัมภาพร วรสีหะ เปิดบทสนทนากับเราอย่างจริงจัง เพียงแค่เราเอ่ยปากถามว่า ชอบถ่ายภาพตั้งแต่เด็กหรือเปล่า “เราไม่มีตัวตนจนคิดว่า มันก็คงจะไม่มีตัวตนไปเรื่อยๆ แบบนี้นั่นแหละ แล้วช่วงนั้นโรงเรียนก็จัดสัปดาห์วิทยาศาสตร์ เราก็เข้าไปที่หอประชุมกับเด็กคนอื่นๆ ทุกคนนั่งพื้น แต่ด้วยความที่เราอ้วน เลยขี้เกียจจะนั่งนานมันทรมาน พอดีพี่หาว (ต่อวงศ์ ซาลวาลา – ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์และแฟนเพจ 2how.com) มาขออาสาสมัคร 15 คน เพื่อไปสอนถ่ายรูปที่สวนป่า เราก็เลยตามเขาไปเพราะคิดว่า… ก็ยังดีกว่าต้องนั่งทรมานบนพื้นล่ะวะ พอไปถึง เขาก็สอนวิธีการจับกล้อง วิธีการยืนขาเท่ากัน สอนอะไรที่เบสิคมากๆ เราก็รู้สึกว่ามันดูสนุกดีนะ พอจบสวนป่าก็กลับบ้านไปเปิดเว็บ 2how.com เล่นทั้งคืนเลย”

แพรออกตัวว่าในช่วงไร้ตัวตนของเธอนั้น กิจกรรมยามเย็นของเธอคือกลับบ้านเล่นเกม แต่ทันทีที่เธอได้เปิดโลกแห่งการถ่ายภาพผ่านเว็บ 2how.com ในวันนั้น ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปทันที “หลังจากได้เห็นรูปสวยๆ ในเว็บ เราก็เซฟเก็บไว้จนกระทั่งกลายเป็นกิจกรรมที่เราเสพติด” แพรเล่าต่ออย่างออกรส “ทุกวันต้องเข้าไปเช็คกระทู้ใหม่ ที่นั่นเป็นเหมือนคลังรูปที่มีคนฟีดเข้าไปทุกวัน ตอนนั้นยังไม่มีเฟสบุค เว็บนี้คือการพูดคุยกับคนที่เราไม่รู้จัก มันเป็นความตื่นเต้น ความสนุก พอดูมากๆ เข้า เราก็ไปขโมยกล้องพ่อมาถ่ายรูปบ้าง แต่ตอนนั้นเราคิดว่าเราขับรถไม่เป็น ออกไปไหนไกลๆ ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจว่าถ่ายรูปเพื่อนสนิทก็แล้วกัน เรามีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงน่ารักๆ อยู่ 4 คน เราก็เลยจับเพื่อนเราแต่งตัวไปถ่ายรูปเล่นกันที่สวนรถไฟตามสไตล์ซีรีส์เกาหลีเรื่อง Autumn in My Heart ที่กำลังมาตอนนั้น เราก็หัดปรับรูปให้เป็นสไตล์เกาหลีๆ และโพสต์ลงเว็บ ผลตอบรับดีมาก เพราะเพื่อนเราน่ารักด้วยแหละ พอคนเข้ามาคอมเมนต์ชม เราก็รู้สึกเสพติด อยากได้คำชมอีก ก็ถ่ายไปเรื่อยๆ เพื่อนก็สนุกเพราะไม่ต้องพึ่ง PhotoMe ที่สยามแล้ว กลายเป็นวินทั้งเพื่อนทั้งเรา และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราชอบถ่ายคนมาจนถึงบัดนี้ก็ได้นะ”

หลังจากเสพติดการถ่ายภาพพอร์ตเทรต เพราะเชื่อว่าตัวเองทำได้ดีพอสมควร แพรก็เดินตามความสนุกของตัวเองโดยการไปออกทริปถ่ายภาพกับสมาชิกในเว็บ 2how.com ทำให้เธออยากเรียนต่อด้านการถ่ายภาพในมหาวิทยาลัย แต่ติดที่เธอไร้ความสามารถในการวาดรูปชนิดเป็นศูนย์ “ง่อยมากเลยค่ะ”​ แพรหัวเราะเสียงสดใส “และคณะอะไรพวกนี้นี่ต้องวาดรูปกันทุกคณะเลย ตอนนั้นเราอยากเข้าคณะพวกนี้มากจนถึงขั้นของานเพื่อนที่เอนท์ติดไปแล้วมาใช้ แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี เลยตัดใจ และมาเรียนเอกภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพแทน คิดว่าคงจะเหมือนกันนั่นแหละ คิดเอาเองนะ”

แล้วมันช่วยไหม “เหมือนจะช่วย แต่ก็เหมือนจะไม่ช่วยนะ” เสียงของแพรยังคงร่าเริง “สิ่งที่รู้ก็คือสี่ปีที่เรียนจบมาทำให้รู้ว่าเราไม่ชอบสายนี้ (หัวเราะ) เราชอบดูหนังนอกกระแสมาก แต่เราก็มีความทุกข์ทรมานในการเรียนเขียนบท และการทำอะไรต่างๆ ที่ไม่เข้าข่ายเราเลย ในระหว่างเรียนคือเกลียดตัวเองมาก แต่พอจบมาแล้ว ตกตะกอนแล้ว ก็คิดว่าการเรียนที่ผ่านมาก็ช่วยเราได้ในแง่ที่ว่ามันฝึกให้เรามองเป็นเรื่องราว ไม่ได้มองเป็นภาพถ่ายอย่างเดียว อะไรแบบนั้น” 

ถ่ายคนอื่นแต่นี่คือเรื่องของตัวเรา

“สมมตินะ…​ สมมติว่าเราไปถ่ายพอร์ตเทรตของคนหนึ่ง สมมติว่าเป็นพี่ก็ได้” ประกายตาของหญิงสาวตรงหน้าสว่างวาบราวกับถูกจุดขึ้นมาจนทำให้เราอดอมยิ้มไปด้วยไม่ได้ “เราก็จะมองว่าเราชอบส่วนไหนในตัวของพี่ จะชวนพี่ไปถ่ายรูปกับเรา เพราะเราอยากเก็บรูปของพี่ไว้ สมมติว่าพี่มา 50% ในความเป็นพี่ที่เราชอบ เราชอบฟิเกอร์พี่มากเลย แต่อีก 50% ในรูปนั้นก็จะเป็นการกำกับของเราว่าเราคิดหรือรู้สึกอะไรในขณะที่เรากำลังถ่ายรูปของพี่ สมมตินะ…” เธอย้ำอีกครั้ง “เรารู้สึกเศร้ามากในตอนนี้ เราก็จะกำกับให้พี่นั่งตรงนี้ ใช้แสงแบบนี้ เพื่อพยายามสื่อผ่านตัวพี่ว่าเรากำลังรู้สึกแบบนี้ การที่เรามองแบบเราผ่านกล้องคือการที่เราเอาตัวเองเข้าไปบวกกับเขาทุกครั้ง เป็นแบบนี้ตลอดค่ะ ทุกครั้งที่เราส่งการบ้านตอนที่เรียนนิวยอร์ก เราจะอธิบายในคลาสตลอดว่า ภาพคนอื่นทั้งหมดที่เราถ่ายนั้นคือทัศนคติของเราที่เรากำกับว่าอยากให้คนนั้นออกมาเป็นแบบนั้น เราอยากให้เขาดูเศร้า ดูเท่ หรือดูเงา ขึ้นอยู่กับแสงที่เรากำกับ ดังนั้น ทุกภาพที่เราสื่อสารออกมาคือเราเองทั้งหมดเลย มันคือเขาก็จริงนะ แต่เราไม่ได้เอาตัวเราออกไปจากเขาเลย เพราะเราเองก็คือส่วนหนึ่งของภาพนั่นล่ะค่ะ”​

ฟังๆ ดูแล้วเธอดูเป็นช่างภาพที่จัดเต็มตัวตนเข้าไปในงานอย่างชัดเจน และยอมรับเสียด้วย เราอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอหาจุดสมดุลระหว่างตัวตนและความต้องการของลูกค้าในงาน commercial อย่างไร “งาน commercial ของเรามีสองแบบ แบบแรกคือถ่ายสินค้าล้วนๆ แบบไม่มีอารมณ์ในภาพ ส่วนแบบที่สองคืองาน key visual ของแบรนด์เสื้อผ้าต่างๆ” แพรอธิบาย “งานถ่ายสินค้าก็ถ่ายไปตามนั้น แต่ในส่วนของงาน key visual นั้นลูกค้าจะให้โจทย์อะไรบางอย่างมาให้เราคิดก่อน เคยมีลูกค้าให้ keyword มาว่า ‘เหงา’ และให้เรามาคิดว่า ความเหงาในสายตาเราคืออะไร และเอาความคิดนั้นมาบวกกับเสื้อผ้าของเขา ว่าเราจะนำเสนอเสื้อผ้าของเขาอย่างไรให้เข้ากับคอนเซ็ปต์นั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะบอกความเป็นตัวเราในงาน commercial คือการเลือกใช้แสง การเลือกใช้สถานที่ การเลือกมุมต่างๆ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เราสามารถบวกตัวเราเข้าไปในงานได้ ทำให้เราชอบงานของเราเองด้วย ไม่ใช่ว่าถ่ายไปตามใจลูกค้า และเราไม่ชอบเลย มันก็ไม่ใช่นะ” 

จุดหมายในใจที่อยากให้เป็นจริง

“จุดหมายในใจเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปทุกสามเดือนเลยก็ว่าได้” แพรนิ่งคิดสักพัก “ตอนเรียนจบใหม่ๆ ก่อนไปเรียนที่กรุงนิวยอร์ก ก็อยากเป็นเหมือนพี่จ๊อด (ธาดา วาริช – ช่างภาพแฟชั่น) เพราะพี่จ๊อดถ่ายผู้หญิงเอ็กซ์มาก ไม่มีใครถ่ายได้เหมือนแกเลย มองแต่ละทีคือว้าวมาก และงานแกได้ลงนิตยสารเยอะแยะมากมาย ตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าไม่ใช่ช่างภาพสารคดี หรือช่างภาพข่าว เราก็อยากมีชื่อตัวเองอยู่ในนิตยสาร แต่พอไปเรียนที่นิวยอร์ก และกลับมาก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้ว การมีชื่อเสียงมันไม่สำคัญเลย จุดหมายที่สองของชีวิตคืออยากเปิดโรงเรียนสอนถ่ายภาพ หรืออยากสอนหนังสือ ซึ่งก็ได้สอนหนังสือมานานแล้ว เลยตั้งจุดหมายที่สามหลังจากที่ได้สอนจนชินชาไปแล้วว่าเราอยากจะเปิดโรงเรียนสอนการถ่ายภาพ แต่จุดหมายนี้คงอีกสักพักนั่นแหละ เพราะเรายังขาดเพื่อนร่วมอุดมการณ์น่ะ” แล้วโรงเรียนสังเคราะห์แสงที่ร่วมก่อตั้งโดยโต้ – วิรุนันท์ ชิตเดชะ บรรณาธิการบริหารนิตยสารของเราล่ะ เราแซว “ของพี่โต้เขาเน้น technical เป็นหลักเลย เหมือนโรงเรียนชายล้วนน่ะนะ แต่โรงเรียนแบบที่เราไปเรียนที่นิวยอร์กมาคือเขาสอนทุกคนเลย ตั้งแต่เด็กมาก จนผู้ใหญ่มาก อายุ 65 แล้วก็ยังมาเรียน ทุกคนได้เรียนเท่ากันหมด เริ่มใหม่พร้อมกันหมด ได้เรียนไปพร้อมกัน เราอยากทำได้แบบนั้นมากกว่านะ”

ถ้าเช่นนั้น แปลว่าจุดมุ่งหมายของการเป็นช่างภาพของแพรคือการถ่ายทอดมากกว่าการสร้างสรรค์เพื่อเป็นตำนานใช่ไหม เราตั้งข้อสังเกต เธอนิ่งไปสักพัก “ไม่เคยคิดเลยแฮะ” เธอลังเล “ปกติเป็นคนนั่งหลังห้องตลอด หลับได้คือหลับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเปลี่ยนไป อาจจะเพราะเราโมโหว่าเราเรียนในระบบมาตั้งนาน เราไม่ได้อะไรเลย และหลังจากเปิดโลกไปเจอสิ่งที่ควรจะเป็น เลยคิดว่าอยากให้คนที่รักการถ่ายภาพเหมือนกับเราได้เจออะไรแบบนี้บ้าง… ล่ะมั้ง”

 

พิสูจน์อักษร: ชลดา สวนประเสริฐ