ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
เราตั้งใจมองบ้านที่เราเติบโตมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
เราอาจกลับไปเยี่ยมเยียน หรือกำลังนั่งอ่านบทความนี้อยู่ในบ้านหลังนั้นด้วยซ้ำ ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเช่นบ้าน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเสียงรองเท้าเดินขึ้นบันได ชั้นเก็บของในห้องรับแขก หรือสีของกระเบื้องในห้องน้ำ ต่างมีความหมายของมันเอง ซึ่งหลายครั้ง มันอาจไปกระทุ้งความรู้สึกบางอย่างที่เราไม่เข้าใจให้กระจายตัวขึ้นมา
สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับหน่อง – ภูวดล แสงวิเชียรเช่นกัน และเขาจัดการกับความรู้สึกนั้นด้วยการถ่ายภาพ เมื่อเขากลับไปที่บ้านในวัยเด็ก เขาจะหยิบกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ทุกครั้งที่รู้สึก “ผมใช้การถ่ายภาพเป็นการคุยกับตัวเอง บางครั้งผมเห็นอะไรแล้วมันรู้สึกบางอย่างแต่ไม่เข้าใจ ผมก็จะถ่ายเพื่อฟรีซเหตุการณ์เป็นรูปภาพ พอเอามานั่งดูมันก็จะเอ่อขึ้นมา” หน่องเล่า เขาใช้การตั้งใจมองบ้านเพื่อเข้าใจตัวเอง
ภาพถ่ายที่ว่ากลายมาเป็นชุดภาพถ่าย Home ถ้าเราลองมองลึกลงไป เราจะเห็นเรื่องราวซ่อนอยู่ในภาพถ่ายแต่ละใบ เราเห็นความอาลัย เห็นการพยายามเค้นและค้นเพื่อหาคำตอบ คำตอบที่อยู่ตรงหน้า แต่ต้องใช้เวลาเป็นปีเพื่อยอมรับ
เราจะมาพูดคุยกับหน่องถึงคำตอบนั้น
นี่เป็นบทสนทนาว่าด้วยความสัมพันธ์ การเปลี่ยน และการปล่อย
มันเป็นบทสนทนาเรื่อง ‘บ้าน’ ในฐานะสิ่งมี ‘ชีวิต’
——————
เราเจอหน่องครั้งแรกเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน เขาให้เราดูภาพถ่ายของเขาในโทรศัพท์มือถือ มันเป็นช่วงที่หน่องเริ่มถ่ายสิ่งของพังที่ถูกทิ้งไว้ตามท้องถนน เขาบอกว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่ฉุดรั้งให้เขาถ่าย แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร และเขาพยายามค้นหาเหตุผล หลังจากนั้น ไม่ว่าเราจะเจอกันกี่ครั้ง เราจะสอบถามหน่องถึงสถานที่ไหนมีของทิ้งร้างบ้าง และเขาพบเจอเหตุผลของตัวเองหรือยัง คำถามข้อแรกจะมีคำตอบสนุกๆ มาให้เราได้รับฟังเสมอ ส่วนข้อที่สอง มันยังคงเป็นปริศนาต่อมาอีกเป็นปี
จากข้าวของริมถนนที่เขาถ่ายจากสัญชาตญาณ ค่อยๆ พัฒนากลายเป็นภาพชุดที่บอกเล่าเรื่องราวของสิ่งของเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Broken Dreams ที่หน่องถ่ายสวนสัตว์ที่ราวกับถูกทิ้งร้าง Believe ที่ถ่ายตัวแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหุ่นหรือรูปภาพตามที่เงียบเหงาต่างๆ หรือ Man Made Animals ที่สัตว์ปลอมในภาพของหน่องจะมีรายละเอียดชวนสงสารไปเสียทุกตัว แม้ว่างานบางส่วนจะมาจากเวิร์คชอปภาพถ่ายที่หน่องเรียนอย่างต่อเนื่องมา 5 ปี ตั้งแต่ลาออกจากบริษัทเพื่อพัก จนการพักกลายเป็นการเกษียณมาถ่ายภาพเต็มตัว แต่เราก็เห็นได้ชัดว่า ทุกงานต่างมีที่มาจากความสงสัยและสนใจของหน่องเป็นหลัก
เมื่อปีที่ผ่านมา เราเห็นขั้นต่อมาของงานหน่อง คืองานชุด Wandering ที่การสำรวจสิ่งของและสถานที่ไม่ใช่การสำรวจเรื่องราวภายนอก แต่เป็นการสำรวจปมปัญหาในใจตนเอง และงานต่อมาของเขาอย่าง Home ที่ไม่เพียงสำรวจตัวเอง แต่รวมถึงความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัว ผ่านสถานที่คือบ้าน
“บางครั้งผมกลับมานั่งที่บ้านแล้วไม่สบายใจเลย แล้วปกติพอไม่สบายใจแล้ว ผมชอบเก็บความรู้สึกไว้ในภาพถ่าย เลยลองเอาการถ่ายภาพมาใช้กับที่บ้านดู ถ่ายตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก วันไหนติดกล้องฟิล์มไปก็ใช้กล้องฟิล์ม วันไหนดิจิตอลก็ดิจิตอล มีรูปหลายแบบมาก ถ่ายอยู่เป็นปี เก็บไปเรื่อยๆ แบบไม่ตั้งใจ บางทีจะมีบางโมเมนต์ที่เราเห็นอะไรบางอย่าง เช่น ผมเห็นตู้ที่ตอนเด็กๆ ผมเคยใส่ของเล่น ตอนนี้ของเล่นหายไปหมดแล้ว เขาก็เอามาเก็บจานแทน แต่ซากสติกเกอร์ที่ผมเคยติดไว้สมัยเด็กมันก็ยังอยู่ เราก็ไปยืนดูแล้วอึ้ง พยายามถ่ายไว้”
เราถามหน่องว่าในตอนนั้น เห็นอะไรจากภาพถ่าย “บ้านเก่า บ้านพัง ซากของตัวเองไม่ค่อยเหลือ คุณแม่แก่ คุณแม่สุขภาพไม่ดี เห็นแค่นี้ เหมือนคุยกับตัวเองคร่าวๆ แต่ยังไม่เคลียร์”
การคุยกับตัวเองของหน่องมาชัดเจนตอนเวิร์คชอปกับ Valentina Abenavoli เจ้าของสำนักพิมพ์โฟโต้บุคและอาร์ตบุคชื่อ AkinaBooks ที่จัดโดย Spark ทางเวิร์คชอปให้สมัครด้วยการส่งภาพประมาณ 25 รูปไป หน่องที่ยังคงไม่เข้าใจการถ่ายบ้านของตัวเอง จึงเลือกส่งงานนี้เข้าสมัครเพื่อพัฒนาภาพถ่ายชุดนี้ในเวิร์คชอป
ในเวิร์คชอปของ Valentina Abenavoli เธอให้ผู้เรียนได้รู้จักงานตัวเองผ่านกระจกของผู้อื่น ด้วยการให้พริ้นท์ภาพของตัวเองประมาณ 100-150 รูปมาเรียงบนโต๊ะ จากนั้นให้ผู้เข้าเวิร์คชอปทุกคนรวมถึงตัวเธอเองหยิบภาพของเพื่อนร่วมชั้นที่กระทบความรู้สึกขึ้นมาแล้วบอกว่ารู้สึกอย่างไรกับภาพ นั่นทำให้หน่องพบว่าสิ่งที่ตัวเองรู้สึกในภาพ เพื่อนร่วมเวิร์คชอปก็มองเห็นและรู้สึกเช่นกัน คำบอกเล่าของคนที่มองเข้ามาทำให้หน่องเห็นตัวเองชัดขึ้น ภาพบ้านของหน่องไปเชื่อมโยงเข้ากับความทรงจำเรื่องบ้านของคนอื่น พวกเขาเล่ามันออกมา และนั่นทำให้หน่องที่เป็นเจ้าของผลงานได้เชื่อมโยงมันเข้ากับความรู้สึกลึกๆ ของตัวเอง
“การทำงานของผมเนี่ย ปกติแล้วผมถ่ายเสร็จ ดูรูป แล้วจะกลับมานั่งเขียนบันทึกว่าผมเห็นอะไร รู้สึกอย่างไร ทีนี้ พอผมกลับมาถึงบ้านจากเวิร์คชอป ผมนั่งเขียนพรวดเดียวเลย เพราะมันเคลียร์มาก” หน่องเล่า “สิ่งที่คนอื่นพูดทำให้ผมระลึกได้ว่าแก่นของมันคืออะไร”
เราถามหน่องว่า แก่นของมันคืออะไร
หน่องมองเข้ามาในตาเรา แล้วพูดว่า “แก่นของมัน คือผมกำลังทำใจกับความเปลี่ยนแปลง”
——————
คุณแม่ของหน่องเป็นโรคความจำเสื่อม
ปีนี้คุณแม่อายุย่าง 90 ปีแล้ว การกลับไปบ้านทุกอาทิตย์ ได้นั่งกับท่านเดือนต่อเดือน ทำให้หน่องเห็นว่าคุณแม่เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ในบ้านที่ยังคงมีรูปคุณพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วแขวนอยู่บนผนัง รูปคุณแม่สมัยยังสาวประกวดนางสาวไทย ในบ้านที่ชั้นโย้และตู้พัง คนที่บ้านเองก็ค่อยๆ หลงลืมและโรยราไปพร้อมกัน
หน่องเล่าว่า เมื่อเขาเข้าใจแล้วว่าภาพถ่ายทั้งหมดที่ถ่ายมาตลอดมันเกี่ยวกับอะไร เขาก็นั่งร้องไห้ “พอผมฟรีซมันเป็นรูปแล้วดูตรงหน้า มันก็นึกขึ้นได้ว่า พวกนี้มันไปหมดแล้วนะ มันจากไปหมดแล้ว ผมต้องทำใจยอมรับ ผมจะไม่พยายามไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันอีกแล้ว เข้าใจแล้วว่ามันเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของมัน ทั้งสิ่งของ สุขภาพ ความสัมพันธ์” หน่องเล่า ในวันนี้ที่ไม่ร้องไห้อีกแล้ว “ถ้ายึดติดกับมัน ไปเก็บความไม่สบายใจโดยไม่ทำความเข้าใจ ก็จะติดกับความทุกข์นั้นต่อไป”
เมื่อย้อนกลับมาดูภาพอีกครั้งเมื่อเข้าใจแล้ว ทุกอย่างก็ชัดเจน ทั้งภาพคุณแม่กำลังยืนเหม่อมองปฏิทิน หมอนปักครอสติชรูปดอกไม้ที่มีรอยโหว่รูใหญ่ หรือรูปสีซีดที่อยู่ในกรอบรูปฝุ่นเขรอะ หน่องเอาภาพที่ถ่ายมาผสมกับภาพเก่าจากอัลบั้มของครอบครัว เติมเต็มเรื่องราวให้เราได้เห็นอดีตที่ไม่สามารถหวนกลับมาได้อีก
เราตั้งใจมองบ้านที่เราเติบโตมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เรารู้สึกอย่างไร เราทำใจได้แล้วจริงหรือ
นี่อาจเป็นคำถามที่ติดค้างในใจหลายคนหลังจากได้ดูงาน Home ของหน่อง อย่างน้อยก็เราคนหนึ่ง
——————
เราถามหน่องว่า ได้ให้คนในครอบครัวดูภาพที่ถ่ายบ้างไหม
“ให้คุณแม่ดูตลอดครับ แกยิ้มๆ ห้านาทีแกก็ลืมแล้วครับ ส่วนพี่น้องไม่เคยมานั่งเอารูปให้ดูหรืออธิบายอะไร แต่ว่าพี่สาวผมสังเกตเห็นผมถ่ายของในบ้านที่พัง เขาก็ไล่ซ่อม ตอนนี้สวยหมดแล้ว” หน่องหัวเราะ “เขาเข้าใจแหละ ว่ามันอาจเป็นประเด็นความไม่สบายใจ แต่ครอบครัวคนไทยอาจไม่ได้มานั่งคุยกันเปิดเผยอะไร เขาเก็ต เขาเลยไล่ซ่อมไง”
โปรเจ็กต์ Home จบลงเพราะมันไม่มีอะไรที่ติดค้างในใจให้ต้องใช้ภาพถ่ายมาบันทึกเพื่อพิจารณาอีกแล้ว มันจบลงแบบที่หน่องเข้าใจยอมรับความเปลี่ยนผ่านของชีวิต และในขณะเดียวกัน บ้านเองก็เรียบร้อยดูดีขึ้น คนที่อยู่ในบ้านมีความสุขกับบ้านมากขึ้น “จะให้ทำต่อไปพลังมันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว สถานที่ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะฉะนั้น มันก็ถึงเวลาที่จะมูฟออน” หน่องบอก
ในอีกแง่ Home อาจเป็นมากกว่าการทำความเข้าใจตัวเองของหน่อง แต่เป็นการถ่ายภาพที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อตัวบ้านและความสัมพันธ์ โดยที่หน่องและครอบครัวไม่มีใครต้องกล่าวอะไรเป็นคำพูดต่อกันเลย
และในอีกแง่ Home ก็เป็นบันทึกต่อสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ข้าวของอาจเก่า ผู้คนอาจแก่ แต่เมื่อให้เวลากับมัน หน่องหรือตัวเราเองอาจกลับมาดู Home อีกครั้งในห้าปีหรือสิบปีข้างหน้าเมื่อเราเติบโตขึ้นกว่าวันนี้ แล้วรู้สึกกับมันต่างไปจากเดิม วันหนึ่ง เรื่องราวและวันเวลาอาจขับเน้นให้ความไม่สวยงามของมันมีค่าขึ้นมา
เฉกเช่นเดียวกับความทรงจำ