brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

May 2025

โดม - ทองฉัตร ร่มฉัตรทอง
Only You
เรื่อง: กษิดิ์เดช มาลีหอม
ภาพ: ณัฏฐพร ดั่งดาวดึงส์
14 Feb 2023

ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า โดม คือ ช่างภาพที่ศรัทธาในความรัก ผลงานถ่ายภาพพรีเวดดิ้งของเขาได้ดึงเสน่ห์ของคู่บ่าวสาวให้กลมกลืนกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัวในทุกๆ เฟรม ภายใต้แสงสีทองช่วงเย็น มวลเมฆเริ่มเปลี่ยนสี เมื่อนั้นสิ่งที่โดมเรียกว่าความรักก็บังเกิด โดมเป็นช่างภาพที่หลงใหลในทุกวินาทีที่อยู่ภายใต้ผืนฟ้าวนิลาสกาย แสงจากพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังจะบอกลาในแต่ละวันที่แตกประกายเป็นเฉดสีไม่ซ้ำกันเป็นวัตถุดิบทางอารมณ์ที่ขับเคลื่อนให้ตัวเขาอยากจะถ่ายทอดความสัมพันธ์ของคู่รักผ่านช่วงเวลาเพียงไม่ชั่วโมงก่อนที่แสงจะหมด ที่เขาเรียกว่ามันว่า ความรักที่บานฉ่ำ

มีหลายคนที่ได้ดูงานของเขาต่างร้องทักเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ความรู้สึกถึงความหว่อง ซึ่ง Fallen Angels (1995) คือหนังที่โดมรักสุดหัวใจและดูซ้ำบ่อยที่สุดของผลงานระดับมาสเตอร์ ‘หว่อง กา ไว’ และก็เป็นภาพและเสียงที่ให้แรงบันดาลใจต่อตัวเขาและผลงาน รวมถึงแคปชั่นที่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่โดมเอาจริงจังทุกครั้ง โดยเขามองว่าถ้อยคำเหล่านั้นช่วยประสานให้เนื้อหาในภาพแต่ละภาพได้พาคนดูไปถึงฝั่งมากขึ้น

ก่อนหน้านี้เขาเคยมีผลงานภาพถ่ายที่ขณะนั้นเขายังไม่ได้อยู่ในสถานะช่างภาพ คือ ‘Social Distancing’ ที่เล่าเรื่องมนุษย์กับพื้นที่ในช่วงเวลาที่ระยะห่างคือสิ่งสำคัญของการดำรงชีวิตอยู่ในสถานการณ์โควิดที่กำลังรุนแรง และอีกหนึ่งงานที่เป็นเหมือนพลุให้คนได้เห็นได้ยินชื่อของเขามากขึ้นก็คือ ‘Remembers to turn on the light’ ภาพถ่ายในซอยแถวบ้านยามที่เขารู้สึกอึดอัดกับการที่ต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด การเดินออกมารับแสงแดดมองสิ่งรอบตัวในพื้นที่ที่เขาอยู่มาทั้งชีวิตแต่ไม่เคยได้ใช้เวลามองมันนานเท่าครั้งนี้มาก่อน ภาพทั้งหมดนั้นถูกตกแต่งด้วยจินตนาการของเขาและนำไปวางขายบน Opensea คอลเลคชั่นดังกล่าวไม่เพียงแค่ขายหมดเท่านั้นแต่ยังถูกรับเลือกให้จัดเป็นนิทรรศการที่ 6060 อาร์ตสเปซอีกด้วย และในวันนี้ที่เรามานั่งคุยกันก็อยู่ในช่วงเวลาครบรอบหนึ่งปีพอดีกับช่วงเวลานิทรรศการแรกของโดม มาทำความรู้จักกับช่างภาพพรีเวดดิ้ง ผู้ที่จะไม่ยอมลงงานหากขาดแคปชั่น ผู้ที่เปรียบท้องฟ้ายามเย็นคือรอยยิ้มของหญิงอันเป็นที่รัก ผู้ที่นำความเหงาที่ใครหลายคนไม่อยากเผชิญจับมันมาเล่าให้โรแมนติกได้

หนุ่มน้อยที่เคยนั่งดูฟิล์มสไลด์ของพ่อเพื่อซึบซับช่วงเวลาเก่าๆ มีวันนึงเขาชำเลืองมองดูกล้องฟิล์ม Nikon FE2 ตัวเก๋าของพ่อที่นอนตู้อยู่ เขาสัมผัสถึงความเท่ของมันและอยากลองเป็นผู้บันทึกความทรงจำเองบ้าง ทุกวันนี้เขาเองก็เป็นสาวก Nikon เช่นเดียวกับพ่อของเขาในวัยหนุ่ม

ทำไมถึงเลือกใช้วิธีการเล่าเรื่องคนๆ นึงหรือคู่ๆ นึงผ่านภาพแนว Candid Portrait 

“แคนดิดคือการถ่ายในมุมเงียบๆ ไม่ต้องพูดคุยสื่อสาร ตอนที่คนเราจะเป็นตัวเองมากที่สุด คือตอนที่คนเราคิดว่าอยู่คนเดียว ณ ขณะนั้น มันคือการบันทึกเรื่องราวของคนๆ นึงได้จริงที่สุด”

และทำไมถึงต้องเป็นฟิล์ม 

“เจอกล้องฟิล์มของพ่อมาก่อน ช่วงนั้นเริ่มรับงานบวกกับกระแสฟิล์มกำลังมา และเรื่องมาร์เกตติ้งด้วยก็เลยลองขายแพคเกจดิจิทัลและแถมฟิล์มหนึ่งม้วน ตอนนั้นแถมพวกโกดักโกลด์ พวกคัลเลอร์พลัสสบายๆ ตอนนั้นเรายังไม่มั่นใจด้วยว่าเราจะถ่ายฟิล์มล้วนไหวไหม ก็เหมือนเอามาฝึกด้วย กลายเป็นว่าลูกค้าชอบ ก็ทำไปเรื่อยๆ ในอีกทางก็รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ในตัวที่ทำให้เราถอนตัวไม่ขึ้น จริงๆ พอเป็นดิจิทัลเราก็แต่งโทนฟิล์มอยู่ดี อยากใส่เกรนปรับเฟดขึ้นให้มันเป็นฟิล์ม รู้สึกว่ามันสบายใจกว่า”

อารมณ์ร่วมและแสงคือองค์ประกอบสำคัญในภาพสไตล์นี้ใช่ไหม 

“ใช่ครับ สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราแคร์มากที่สุดเวลาทำงาน การถ่ายรูปไม่ใช่แค่บันทึกภาพ มันคือการบันทึกความรู้สึก ณ ห้วงเวลานั้นไว้ด้วย  เพราะว่าเราจะสื่อถึงความรักใช่ไหม ก็ต้องให้คนที่มาดูรู้สึกว่าถึงความรักด้วย แต่แสงเรากลับไม่ได้อะไรขนาดนั้น เพราะเราก็ควบคุมมันไม่ได้  คือมีแสงก็ดีกว่า อบอุ่น เป็นตัวเรา แต่ถึงไม่มีแสงเราก็สามารถทำให้มันอบอุ่นได้เช่นกันครับ”

ใช้อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน (เพลง ภาพยนตร์ หนังสือ) 

“ภาพยนตร์เป็นส่วนใหญ่ครับ เราเสพย์งานภาพของหว่อง กา ไว เยอะมากๆ  โดยเฉพาะ Fallen angels รู้สึกว่ามันทำงานกับเรามากๆ ทั้งการใช้กระจก การเล่นภาพสะท้อน จริงๆ ไม่รู้ตัวนะว่าสไตล์ของเรามันไปคล้ายๆ จนกระทั่งคนเริ่มทักเยอะขึ้น ซึ่งแรงบันดาลใจทั้งการเขียนทั้งถ่ายภาพมาจากเรื่องนี้เยอะมาก” 

ศึกษาหรือชอบดูผลงานของช่างภาพคนไหนเป็นพิเศษไหม 

“ช่างภาพที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตในงานเรา แบบเบิกเนตร (หัวเราะ) คือพี่แอ๊ด พีรพัฒน์กับพี่อีฟ above the mars เราเคยอ่านบทความเขาแล้วว้าวมันถ่ายแบบนี้ได้ด้วยหรอ เราก็เลยศึกษาเขาเยอะมาก มู้ดมันรู้สึกเข้าถึงเลยชอบ เหมือนว่าก้าวไปอีกขั้นว่าการถ่ายภาพมันมีแบบนี้ด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษางานช่างภาพต่างประเทศ พวก Wing Shya, Saul Leiter และ Christopher Anderson”

คอลเลคชั่น ‘Remembers to turn on the light’ มีผลต่อตัวเราอย่างไรบ้างในตอนนี้ 

“มันเหมือนเราปลดล็อกอะชีฟเม้นในชีวิตครับ ว่าอยากจัดนิทรรศการของตัวเอง แต่ก็ไม่คิดว่าจะสำเร็จตอนอายุยี่สิบสี่นะครับ เรายังจำโมเมนต์วันแรกที่เปิดงานได้อยู่เลย เราเจอเพื่อนมากมาย แม้กระทั่งลูกค้าเก่า มากันเต็มไปหมด เหมือนมันเป็นกำไรไหมนะที่เราสำเร็จมาแล้วในความฝันหนึ่งของเรา กำลังใจที่ได้มาจากงานที่เรามีวันนี้ได้ก็เพราะเราได้เห็นว่ามีคนให้กำลังใจเราเยอะแค่ไหน”

เวลาเราจะถ่ายภาพพอร์ตเทรตไม่ว่าจะงานพรีเวดดิ้งหรืองานรับปริญญา เราอยากจะเล่าอะไรในตัวเขา 

“เราชอบถ่าย close up close up ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงถ่ายใกล้ๆ หน้าหรือตัวเขานะ มันคือการเข้าไปใกล้หัวใจของเขาหรือเธอให้ได้มากที่สุด เคยมีช่างภาพคนหนึ่งพูดไว้ว่าช่างภาพที่เก่งไม่ใช่ช่างภาพที่มุมมองดีอย่างเดียว แต่เป็นช่างภาพที่ช่างสังเกตและสื่อสารเก่ง คิดว่าถ้าเราเข้าไปใกล้หัวใจของใครสักคนหนึ่งได้ ก็จะสามารถนำตัวเขาออกมาได้ บางมุมที่เขาอาจจะไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เราทำหน้าที่เหมือนเป็นกระจกเหมือนกัน (หัวเราะ)”

ก่อนเริ่มงานมีการคุยกับลูกค้าอย่างไรบ้าง 

“เราชอบพูดคุยทั่วไป ทำความเข้าใจแล้วก็วิเคราะห์ไปในตัว แต่ก่อนเป็นคนอินโทรเวิร์ตนะ แต่เป็นช่างภาพต้องฝึกตัวเองให้เป็นเอ็กโทรเวิร์ตบ้าง  ซึ่งหลายคนก็มีบุคลิกที่แตกต่างกันไป เราจะทำความรู้จักในเบื้องต้นเหมือนเป็นเพื่อนใหม่ในห้อง ชื่ออะไร มาจากไหน กินข้าวรึยัง  พูดคุยทำความรู้จักกันมากกว่า ถ้าเขาหรือเธอสบายใจ เขาจะเปิดมุมของตัวเองให้เราเข้าไปเรื่อยๆ และก็คอยสังเกตว่าเวลาที่ลูกค้าอยู่ด้วยกันเขาทำตัวอย่างไร”

อยากทราบว่าทำไมถึงชอบใช้เฟรมที่ให้ใบหน้าของคนสองคนมาอยู่ในเฟรมและเว้นสเปซตรงกลางไว้ 

“เราแค่อยากเก็บทุกช่วงเวลานั้นๆ ให้ครบครับ วันนั้นฟ้าสวย วันนั้นแสงสวย วันนั้นเราอยู่ที่ไหน ในเซ็ตๆ นึงจะชอบแทรกรูปแบบนี้ไว้เสมอ โดยมีพวกเขาอยู่ให้มันเป็นเรื่องราวแบบว่าบางครั้งคนเราก็อยากจะจำด้วยว่าตอนนั้นที่เราอยู่ๆ กับคนรัก ท้องฟ้าเป็นสีอะไร  มันก็เป็นความทรงจำที่ดี” 

การแข่งขันกันในตลาดช่างภาพพรีเวดดิ้งในปัจจุบันเป็นอย่างไร 

“เราว่ามันสนุก ในวงการเวดดิ้งเรารู้สึกเข้มข้นกว่ารับปริญญานะ ช่างภาพเวดดิ้งที่เราเคยเห็นงานคือรู้เลยว่าประสบการณ์แน่น ถ่ายมานาน ความท้าทายคือทำยังไงให้เขาเลือกเอาเราไปถ่าย ทั้งๆ ที่เราประสบการณ์ก็น้อย นั่นแปลว่าเขาชอบในสไตล์เราจริงๆ มันแปลว่าทุกที่มันมีที่ยืนให้เราเสมอ โอกาสมันมาโดยที่เราไม่รู้ตัวหรอก แค่ทำตัวให้พร้อม ทุกครั้งที่เราทำได้ดี มันเหมือนได้พิสูจน์ตัวเอง แล้วก็ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ”

สำหรับโดมอะไรคือความสนุกของการเป็นช่างภาพพรีเวดดิ้ง 

“เราเป็นคนอินในความรัก เราชอบที่จะได้เห็นคนสองคนรักกัน มันเหมือนมีเพลงคลอในหัวตลอด การถ่ายทอดมันออกมามันทำให้เรารู้สึกสบายใจ รู้สึกว่านี่แหละคือที่ของเรา  ด้วยความเป็นคนศรัทธาในความรักแต่ตอนโตขึ้นมาเพิ่งรู้ว่าตัวเองโรแมนติก เด็กๆ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้ว่าชอบดูหนังรัก ชอบคำพูดที่มันสวยๆ แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าตัวเองโรแมนติก จนมาได้ถ่ายพรีเวดดิ้งจึงเป็นอะไรที่รู้สึกใช่มากรู้สึกว่ามันเชื่อมกับตัวเราหมด อยากไปให้สุด”

________________________________________________________________________________________

“เวลาที่ผมหันไปมองคนที่ผมรักในเวลานี้ ทุกอย่างมันดูงดงาม เหมือนท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสีในยามเย็นก่อตัวขึ้นในหัวใจผม อาจมีสายลมอ่อนๆ ที่พัดพาความรู้สึกให้พริ้วไหว หรือบางครั้งฝนตกลงมาโดยที่ผมไม่ได้ตั้งตัว แต่ตราบใดที่ผมรู้ว่าเธอรักผมอยู่ เม็ดฝนที่กระทบหัวใจผมจะทำให้ดอกเดซี่เติบโต เกสรสีทองจะสร้างความอบอุ่นให้หัวใจผม เพื่อรอวันที่ฟ้ากลับมาสวยงามอีกครั้งด้วยกัน”

All I needed was the love you gave 

All I needed for another day

And all I ever knew

Only you

“ขอบคุณครอบครัว เพื่อนใกล้ชิด และแฟน ที่เชื่อมั่นในตัวผม ในวันที่แม้แต่ผมยังไม่มั่นใจในตัวเอง”

 

บทความนี้เขียนขณะจ้องมองแสงไฟและความเคลื่อนไหวของหนุ่มสาวที่หัวใจสะบักสะบอมผ่านอุโมงค์แห่งห้วงความรู้สึก