brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Jun 2025

โต๊ด - นักรบ มูลมานัส
นักเล่นแร่แปรธาตุที่เสกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ออกมาจากภาพถ่ายเก่าเก็บ
เรื่อง : มายา
ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์ / นักรบ มูลมานัส
20 Jan 2022

เราตั้งใจแวะเข้าไปดูนิทรรศการ Photo-Alchemy ของโต๊ด – นักรบ มูลมานัส ที่จัดขึ้นที่ Alliance Française Bangkok ด้วยเหตุผลสองประการคือ 1) เราเริ่มจับงานคอลลาจเพราะเราได้แรงบันดาลใจจากเขา และ 2) ชื่อนิทรรศการมีคำว่า ‘ภาพถ่าย’ อยู่ด้วย และเราตั้งใจจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองว่า หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมโครงการ Artist in Residency ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสแล้ว ทิศทางการเติบโตในงานคอลลาจของเขาเป็นไปอย่างไร และเราก็ไม่ผิดหวังเลย

เราบังเอิญเจอโต๊ดนั่งสัมภาษณ์สื่อหนึ่งอยู่ในวันที่เราตั้งใจแวะเข้าไปดูนิทรรศการของเขา เลยได้มีโอกาสฟังเขาอธิบายถึงรูปแบบการทำงานนิทรรศการในครั้งนี้ อันได้แก่การสร้างลูปกาลเวลาระหว่างเก่าใหม่ โดยเริ่มต้นจากการคัดเลือกรูปถ่ายโบราณ ที่ถ่ายด้วยฟิล์มกระจก มาสร้างสรรค์เป็นงานดิจิตอลคอลลาจโดยให้ทิ้งร่องรอยความดิจิตอลไว้ในภาพอย่างชัดเจน (ซึ่งแตกต่างจากงานอนาล็อกจัดๆ ในยุคก่อนหน้าของเขาอย่างสิ้นเชิง) และส่งภาพนั้นไปผลิตเป็นฟิล์มกระจก เพื่อล้างและอัดออกมาเป็นภาพพิมพ์ฟิล์มกระจกอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น นิทรรศการนี้จึงประกอบไปด้วยภาพดิจิตอลพรินท์ ฟิล์มกระจกออริจินอล และภาพที่อัดจากฟิล์มกระจกวางเรียงกันหลายชุด เรียงรายไปกับภาพถ่ายเทคนิค cyanotype ที่ก็สรรค์สร้างมาจากภาพคอลลาจตามที่เขาถนัด และเมื่อเราได้พูดคุยกับเขาเพียงสั้นๆ ในวันนั้น ทีมเราก็ไม่รีรอเลยที่จะนัดเขามาพูดคุยกันอย่างละเอียดถึงแรงบันดาลใจ แนวคิด และใดๆ ก็ตามเบื้องหลังนิทรรศการ Photo-Alchemy ในครั้งนี้

กำเนิดนิทรรศการ และกำเนิดภาพถ่ายในสยามประเทศ

“นิทรรศการนี้เป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากการที่โต๊ดได้ไปแลกเปลี่ยนในโครงการ Artist in Residency ที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปีค.ศ. 2021 ครับ” โต๊ดเปิดบทสนทนากับเราด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “ได้เจอโครงการของรัฐบาลฝรั่งเศส เขาประกาศหาศิลปินต่างชาติไปเป็นศิลปินพำนักที่กรุงปารีส โต๊ดก็รวบรวมผลงานส่งเข้าไป และโชคดีที่ผ่าน แต่พอไปถึงประเทศฝรั่งเศส ก็เป็นช่วงล็อคดาวน์ใหญ่จากสถานการณ์โรคโควิด-19 พอดี หน่วยงานที่ดูแลโครงการของโต๊ดก็เห็นว่า เราอุตส่าห์มาแล้ว เขาเลยบอกศิลปินทุกคนว่า ถ้าใครอยากอยู่นานกว่าระยะเวลาสามเดือนในโครงการ ให้เขียนโปรเจ็กต์เข้าไปเสนอ โต๊ดก็ส่งไป แล้วเลยได้อยู่ยาวเป็นสิบเอ็ดเดือนเลยครับ

“และช่วงที่โต๊ดเป็นศิลปินพำนักอยู่ที่นั่น ก็จะเจอเพื่อนศิลปินจากหลายแขนง คนที่สนิทกันมากๆ ก็ชวนกันทำนิทรรศการกลุ่มที่มีธีมหลักเป็นคำว่า ‘alchemy’ หรือการเล่นแร่แปรธาตุ เขาก็ให้ศิลปินแต่ละแขนงคิดงานออกมาจากหัวข้อนี้” โต๊ดอธิบายต่อ “โต๊ดเลยไปนั่งคิดว่าการเล่นแร่แปรธาตุมันเชื่อมโยงอะไรกับสิ่งที่โต๊ดทำอยู่หรือเปล่า เลยไปรีเสิร์ชข้อมูลเรื่องประวัติศาสตร์ภาพถ่ายในยุคล่าอาณานิคม และความหมายของการเล่นแร่แปรธาตุ และเอามาตีความในแบบของโต๊ดเองว่าการเล่นแร่แปรธาตุนั้นเป็นกระบวนการอะไรสักอย่างที่จะว่าเป็นวิทยาศาสตร์ก็ไม่ใช่ไปทั้งหมด จะว่าเป็นกระบวนการทางจิตวิญญาณก็ไม่เชิง โต๊ดเลยเอามาโยงกับประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในการปกครองของรัชกาลที่สาม ที่มีประดิษฐกรรมอย่างการถ่ายภาพเข้ามาเป็นครั้งแรก ซึ่งโต๊ดก็ไปคิดถึงในแง่ของความเชื่อของผู้คนในยุคนั้น กล้องถ่ายรูปก็คือการเล่นแร่แปรธาตุอย่างหนึ่ง เพราะคนไทยในสมัยก่อนเชื่ออย่างฝังหัวว่าการทำซ้ำตัวเองออกมาไม่ว่าจะผ่านภาพถ่าย ภาพวาด หรือประติมากรรมนั้นคือการถ่ายวิญญาณของเราออกไปสู่รูปจำลอง ทำให้เราอายุไม่ยืน แต่การเข้ามาของการถ่ายภาพจากโลกตะวันตกก็ดูเป็นของใหม่ที่ทำให้ชนชั้นสูงชาวสยามอิหลักอิเหลื่อนิดหนึ่ง เพราะเขาก็อยากจะรับความเป็นตะวันตก อยากเป็นฝรั่ง แต่ความอยากตรงนี้กลับขัดกับหลักความเชื่อดั้งเดิมของเขา แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันล่ะ”

ข้อเท็จจริง : กล้องถ่ายรูปเข้ามาในสยามเป็นครั้งแรกในช่วงรัชสมัยการปกครองของรัชกาลที่สาม โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่า หลุยส์ ลาร์นอดี หรือบาทหลวงลาร์นอดี (L’ Abbé Larnaudie) 

พอเริ่มจับไอเดียตั้งต้นได้แล้ว การคิดต่อยอดจากไอเดียตรงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป “พอโต๊ดเริ่มเข้าใจถึงรอยต่อระหว่างวิทยาศาสตร์กับความเชื่อดั้งเดิมได้แล้ว โต๊ดก็เริ่มเห็นว่าสัมพันธ์กับธีม ‘alchemy’ ของนิทรรรศการกลุ่มนั้น โต๊ดก็เลยทำภาพแรกไปร่วมแสดงนิทรรศการที่กรุงปารีสกับเพื่อนๆ พอกลับมาที่ประเทศไทย สถานทูตฝรั่งเศส และสมาคมฝรั่งเศสก็อยากให้จัดนิทรรศการอะไรก็ได้สักนิทรรศการ โต๊ดเลยคิดย้อนกลับไปถึงคอนเซ็ปต์นี้อีกครั้ง เพราะภาพที่โต๊ดทำไปหนึ่งภาพนั้นยังไม่ได้เล่าเรื่องอะไรได้มากนัก นิทรรศการ Photo-Alchemy นี้เลยเกิดขึ้นจากตรงนี้ล่ะครับ” 

จุดหัวเลี้ยวหัวต่อของสยามประเทศ และของศิลปินคอลลาจ

หลังจากการรีเสิร์ชอย่างหนักหน่วงของโต๊ด เขาก็ได้ค้นพบว่าโลกในยุคที่การมาถึงของกล้องถ่ายรูปยังเป็นเรื่องใหม่นั้นถือเป็นโลกที่เรียกได้ว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญก็ว่าได้ เพราะในตอนนั้น จักรวาลทัศน์ของโลกยังเกาะติดอยู่กับไตรภูมิ และเรื่องเทพยดาผีสางอยู่อย่างแยกไม่ออก แต่ชนชั้นสูงในสยามก็เริ่มที่จะนำเข้าแนวคิดด้านเหตุผลและวิทยาศาสตร์มาจากตะวันตกแล้ว “โต๊ดรู้สึกว่ามันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่คนกำลังจะเปลี่ยนวิธีการมองโลก และการมาถึงของกล้องถ่ายรูปเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้คนในสมัยนั้นได้กลับมาสำรวจตัวเอง และยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ภาพลักษณ์ และอัตลักษณ์ของชาวสยามได้ออกไปสู่โลกภายนอก” 

ในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองให้ออกมาเป็นลูป (ภาพประวัติศาสตร์ที่ถ่ายจากฟิล์มกระจก > คอลลาจ > ฟิล์มกระจก > ภาพคอลลาจที่อัดจากฟิล์มกระจก) นั้น โต๊ดพยายามที่จะสื่อสารว่า ในภาพถ่ายแต่ละภาพไม่ได้บันทึกเพียงแค่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สืบค้นได้ในฐานะข้อมูลข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่มันมีอารมณ์ มีความรู้สึก มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างอารยธรรมตะวันออกและตะวันตก และมีภาวะมึนงงของคนไทยที่มีต่อวัฒนธรรมตะวันตกที่เป็นของใหม่ในยุคนั้นอยู่ “และในทางกลับกันนะ” โต๊ดอธิบาย “ตอนที่ฝรั่งเขาถ่ายรูปคนไทย เขาก็ต้องมีแนวคิดอะไรคล้ายๆ แบบนี้อยู่บ้างล่ะ เพราะภาวะการถ่ายรูปในยุคนั้นคือการจ้องกันนิ่งๆ ระหว่างผู้ถ่ายและผู้ถูกถ่ายนานเป็นนาที และฝรั่งชนชั้นกลางที่อาจจะคิดว่าตัวเองมีอารยธรรมสูงกว่าจ้องมองชนชั้นสูงในประเทศที่เค้าคิดว่าด้อยกว่า ภาพนี้ก็อาจจะซ่อนแนวคิดเชิงอำนาจ และลัทธิล่าอาณานิคมอยู่นิดหนึ่ง” 

ในฐานะที่เราก็ติดตามผลงานของโต๊ดมานาน เรารู้สึกได้เลยว่าผลงานชุดนี้ของโต๊ดมีความเปลี่ยนแปลงบางประการที่เราไม่สามารถอธิบายได้ เราเลยถามถึงเหตุผลในการเลือกใช้รูปของเขาในงานครั้งนี้ว่าเหมือนหรือแตกต่างจากงานชิ้นก่อนๆ ที่เราคุ้นชินอย่างไร “งานก่อนๆ ของโต๊ดจะเลือกรูปที่สวยก่อน แต่ครั้งนี้โต๊ดเลือกจากเรื่องราวในภาพก่อนเลยครับ” พอได้รับคำตอบ เราก็เริ่มมองเห็นแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงที่เรารู้สึกได้นั้นคืออะไร “จุดหมายหนึ่งของการที่โต๊ดตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Artist in Residency ในครั้งนี้คือโต๊ดอยากเติบโตขึ้น เพราะโต๊ดรู้สึกว่าโต๊ดทำงานในลักษณะเดิมๆ แบบกึ่งงานภาพประกอบมาเกินเจ็ดปีแล้ว เหมือนโต๊ดกำลังย่ำอยู่กับที่เบาๆ โต๊ดเลยอยากทำงานส่วนตัวให้มันเป็นนามธรรม หรืออิงกับคอนเซ็ปต์ใดคอนเซ็ปต์หนึ่งมากขึ้น อยากผลักดันให้งานเราแปลกขึ้น ให้มันไปสู่ขอบเขตของงานศิลปะร่วมสมัยให้ได้ ซึ่งมันก็ยากจริงๆ นะครับ” โต๊ดถอนหายใจ “เพราะวิธีการคิดของโต๊ดคือวิธีการคิดแบบภาพประกอบมาโดยตลอด งานนี้โต๊ดเลยอยากขยับให้เนื้อหาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสังคมและประวัติศาสตร์มากขึ้น เลยเป็นงานที่ทำให้โต๊ดต้องผลักดันตัวเอง และปลดเปลื้องสิ่งที่มีอยู่ในสมองเยอะเหมือนกัน ดังนั้น โต๊ดเลยจะไม่ได้เลือกภาพที่สวยที่สุด และเอา elements อื่นๆ มาประกอบให้สวย แล้วจบแบบงานก่อนๆ แต่โต๊ดจะพยายามเลือกภาพที่มันเล่าเรื่องราวในสมัยก่อน และสามารถเชื่อมโยงกับความเชื่อ และอื่นใดในปัจจุบันให้มันออกมาเป็นงานที่แปลกตามากขึ้นครับ” 

ประวัติศาสตร์วนลูป

“โต๊ดว่าความอิหลักอิเหลื่อในกระบวนการปรับตัวมันก็เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นวนๆ ในประวัติศาสตร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนะครับ” เขาออกความเห็น “คอนเซ็ปต์แบบที่ว่าเราจะโอบกอดสิ่งเก่าๆ ที่เราเชื่อไว้ไม่ให้สั่นคลอน แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีสิ่งใหม่ๆ ที่เราสนใจเข้ามาตลอดเวลา  ถึงเราจะรู้สึกว่าสิ่งที่มาจากแดนไกลนั้นไม่ใช่รากเหง้าของเรา แต่เราก็อยากจะโอบรับมันเอาไว้… ได้หรือเปล่า หรือเราควรจะโอบรับสิ่งเดิมที่เราเชื่อไว้ดีกว่า นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดในสังคมไทย อย่างตอนนี้เองก็เกิดประเด็นที่ว่า ถ้าเราโอบกอดระบอบเดิมๆ ของเราไว้แบบไม่ยอมปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลง มันอาจจะไม่รอดแล้วก็ได้ อะไรแบบนี้ครับ” 

แม้ว่าโต๊ดจะเล่าเรื่องคอนเซ็ปต์ความอิหลักอิเหลื่อในประวัติศาสตร์ความเป็นชาติไทยออกมาได้เป็นฉากๆ แต่เขาก็ยอมรับว่าคอนเซ็ปต์นี้ไม่ได้เป็นคอนเซ็ปต์แรกที่เขาคิดไว้ในใจตอนเริ่มต้นทำรีเสิร์ชแต่อย่างใด “มันเป็นสิ่งที่คิดได้ระหว่างหาข้อมูลและตกตะกอนไปเรื่อยๆ ครับ คำถามในใจคือ ‘ฉันอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้นะ แต่ฉันก็อยากจะโอบกอดรากฐานของฉันเอาไว้เหมือนกันนั่นแหละ ฉันต้องทำอย่างไร’ คำถามนี้อาจจะไม่ได้ปรากฏในนิทรรศการนี้โดยตรง แต่โต๊ดก็คิดว่ามันตั้งต้นจากตรงนั้นนั่นล่ะครับ” แล้วได้คำตอบไหมล่ะ เราถาม “เป็นคำถามที่ดีมาก เพราะโต๊ดก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะ” เขานิ่งคิดไปสักพัก “จริงๆ มันก็ไม่ได้คำตอบที่แท้จริงหรอก เพราะมันได้คำตอบแค่ช่วงนั้นๆ ที่มันเกิดขึ้นเท่านั้นแหละ” พอเราทำท่างง เขาก็รีบอธิบายต่อ “สมมติว่าเราจะพูดเรื่องการรับคอนเซ็ปต์เรื่องใหม่ๆ เข้ามาในสยามประเทศ ซึ่งในที่นี้หมายถึงการถ่ายภาพ มันก็ไม่ใช่คอนเซ็ปต์ของปวงชนเสียหน่อย มันเป็นแค่คอนเซ็ปต์ของชนชั้นสูงเพียงกลุ่มเดียว เราเลยไม่สามารถสรุปได้เต็มปากเต็มคำว่า การที่คนบนสุดของยอดปิรามิดรับสิ่งนี้เข้ามาแล้ว สังคมโดยรวมได้สมาทานสิ่งนั้นมาด้วยหรือเปล่า โต๊ดเลยรู้สึกว่าคำตอบมันไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น มันก็จะมีและไม่มีคำตอบเป็นรายกรณีไป ซึ่งโต๊ดคิดว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเราต้องช่วยๆ กันนิยามมันออกมา เพราะข้อสรุปของสังคมมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะคนกลุ่มเดียวหรอกครับ” 

พูดถึงเรื่องการวนลูปแล้ว ขอคุยเรื่องคอนเซ็ปต์ผลงานวนลูปหน่อยได้ไหม ว่านอกจากจะเป็นการเล่าประวัติศาสตร์วนลูปแบบเพิ่มกาลเวลาอดีตและปัจจุบันเข้าไปในชิ้นงานแล้ว มีแนวคิดอะไรอื่นใดเบื้องหลังอีกไหม “สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากการที่โต๊ดเห็นผลงานคอลลาจของเด็กๆ รุ่นใหม่ที่ทำได้ดีมาก บางคนบ้าไดคัตมากกว่าโต๊ดอีก โต๊ดรู้สึกว่าโต๊ดย่ำอยู่กับที่ และมีคอมฟอร์ตโซนของตัวเองอยู่ว่าเราสามารถหยิบรูปนี้มาเพิ่ม elements เดิมๆ แล้วมันสวย มันเวิร์ค แล้วมันก็จบลง โต๊ดรู้สึกว่างานของโต๊ดไม่ค่อยได้สำรวจปัจจุบันสักเท่าไหร่ เหมือนกับไปโฟกัสกับการหยิบภาพที่สวยงามของอดีตมาทำให้สวยงามมากขึ้น ให้ทุกคนโหยหาอดีตผ่านผลงานของโต๊ด แต่พอโต๊ดเติบโตขึ้น มองภาพสังคมไทยเปลี่ยนไป ก็รู้สึกแล้วว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะกลับไปสรรเสริญอดีตอีกต่อไปแล้ว หรือถ้าจะสำรวจอดีต ก็จะไม่ใช่ในแง่มุมที่สวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเพิ่มมิติความเป็นปัจจุบันมากกว่าเดิมให้ได้” 

การใส่ความเป็นปัจจุบันเข้าไปในชิ้นงานของโต๊ดเริ่มต้นจากการทิ้งร่องรอยของความเป็นดิจิตอลเข้าไปในชิ้นงานให้เห็นอย่างชัดเจน “ความดิจิตอลคือการบ่งบอกยุคสมัยที่ชิ้นงานนี้เกิดขึ้น” โต๊ดอธิบายเพิ่ม “พอทำเสร็จ โต๊ดก็รู้สึกว่าอยากจะพิมพ์มันออกมา เพราะโต๊ดอยากจะกลับไปสำรวจอดีตอีกครั้งโดยวิธีการของมัน ก็เลยเกิดแนวคิดการทำงานวนลูปขึ้น ซึ่งโต๊ดก็เลือกช่างทำฟิล์มกระจกที่ไม่ได้เนี้ยบมากมาจัดการกระบวนการนี้ให้ เราก็ได้เห็นความเป็นอดีตหลอกๆ ผ่านกระบวนการสร้างภาพของอดีตที่เอามาทำในปัจจุบัน มันก็จะเห็นร่องรอยของทั้งความดิจิตอลในชิ้นงานต้นฉบับ และความอนาล็อกจากการทำฟิล์มกระจก ผสานออกมาเป็นเลเยอร์ของกาลเวลาที่ทับซ้อนกันอยู่ ทำให้เราตัดสินไม่ถูกเลยว่าสิ่งที่เราเห็นตรงหน้ามันคืออดีตหรือปัจจุบัน” 

เมื่อเราถามถึงเลเยอร์ของอนาคต ที่อาจจะอยู่ไม่ไกลจากการมาถึงของเมตาเวิร์ส โต๊ดเพียงตอบสั้นๆ ว่า “ก็พยายามคิดอะไรแบบนั้นอยู่เหมือนกันครับ เลเยอร์อนาคตน่ะ แต่ว่ามันยังตกตะกอนไม่มากเท่าไหร่เลย” 

หลากหลายนิยาม ‘แสง’ และการเล่นแร่แปรธาตุออกมาเป็นงานคอลลาจ

“ชื่องานนิทรรศการ Photo-Alchemy ทำให้โต๊ดคิดขึ้นมาได้ว่าเรื่องหลักของภาพถ่ายคือ ‘แสง’ โต๊ดเลยนึกถึงปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในยุคนั้นพอดี ซึ่งโต๊ดคิดว่าสุริยุปราคาเป็นกระบวนการกลับกันของการถ่ายภาพ เพราะการถ่ายภาพคือการให้แสงหนึ่งวูบในโมเมนต์นั้นเพื่อเป็นการบันทึกอะไรบางอย่างไว้ ส่วนปรากฏการณ์สุริยุปราคาคือการวูบดับของแสงที่เคยมีอยู่ในหนึ่งโมเมนต์ แต่มันบันทึกอะไรหลายๆ อย่างในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยเต็มไปหมดเลย โต๊ดเลยเอาเรื่องนี้มาเล่าในงานนิทรรศการด้วย โต๊ดคิดว่ามันก็พูดถึงเรื่องอุดมการณ์ที่มันค่อยๆ เปลี่ยนจากแนวคิดโลกแห่งศาสนามาเป็นแนวคิดการมองโลกตามเหตุผลมากขึ้นครับ” 

ในส่วนการเล่าเรื่องปรากฏการณ์อาทิตย์ดับแสงในครั้งนี้ โต๊ดได้นำเอาภาพที่บันทึกไว้ในช่วงการเกิดสุริยุปราคาในรัชสมัยของรัชกาลที่สี่มาคอลาจนางรำใส่เข้าไปในภาพเพื่อแสดงให้เห็นข้อขัดแย้งระหว่างโลกในอุดมคติ กับโลกที่กำลังกลายเป็นโลกแห่งวิทยาศาสตร์ ออกมาเป็นภาพ PhotoAlchemy12 ซึ่งในภาพนั้นก็ได้ใส่ภาพสเก็ตช์ปรากฏการณ์สุริยุปราคาฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ห้า ลงไปในภาพด้วย 

นอกจากการใช้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมาเล่นแร่แปรธาตุแล้ว โต๊ดยังนำเทคนิคการอัดภาพยุคโบราณอย่างเทคนิค cyanotype มาเป็นตัวเอกอีกตัวในงานนิทรรศการของเขาอีกด้วย “เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยแสงยูวีในการสร้างภาพน่ะครับ” โต๊ดอธิบายถึงภาพ PhotoAlchemy11 “โต๊ดเลยไปเลือกภาพที่อยู่รวมๆ กับภาพเหตุการณ์สุริยุปราคา เป็นภาพประชาชนที่ไปเฝ้าดูสุริยุปราคาพร้อมรับเสด็จรัชกาลที่สี่ ซึ่งโต๊ดคิดว่ามันอาจจะเป็นภาพแรกๆ เลยมั้งที่เขาตั้งใจบันทึกภาพสามัญชนคนธรรมดา ถ้าสังเกตสีหน้าเขาดีๆ จะเห็นได้ว่าเขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเครื่องมือที่วางอยู่ตรงหน้าเขาคืออะไร กำลังทำอะไรกับเขาอยู่กันแน่ โต๊ดเลยใช้เทคนิค cyanotype ที่ต้องใช้แสงอาทิตย์ในการสร้างภาพ เพื่อสื่อว่าเหตุการณ์สุริยุปราคาเป็นผู้บันทึกภาพเหล่านี้เอาไว้”

อีกภาพที่เราสนใจเป็นพิเศษคือภาพ PhotoAlchemy10 เพราะมันดูเป็นสไตล์ตะวันออกปะทะตะวันตกตามความถนัดของโต๊ดแบบที่เราคุ้นชิน “นี่คือนักบุญเวโรนิก้าตามความเชื่อของคริสต์ศาสนาครับ” โต๊ดยิ้ม “นักบุญผู้นี้จะปรากฏตัวโดยถือผ้าที่มีพระพักตร์พระเยซูอยู่เสมอ เหมือนเป็นคอนเซ็ปต์ของเขาเลย โต๊ดคิดว่านี่คือคอนเซ็ปต์ของการอัดรูปนะ (หัวเราะ) และในตอนนั้น ความสำคัญของศาสนาก็ค่อยๆ ถูกท้าทายด้วยแนวคิดเหตุผลนิยมที่เพิ่มมากขึ้น โต๊ดเลยเอาภาพสุริยุปราคามาใส่แทนพระพักตร์พระเยซู เป็นการบอกว่าโลกทัศน์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นไทยหรือฝรั่งก็ถูกตั้งคำถามไม่ต่างกันครับ” 

ออกจากลูปการทำงานของตัวเอง

โต๊ดสารภาพว่า หลังจากที่นิทรรศการ Photo-Alchemy ออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เขาก็รู้สึกดีขึ้นกับตัวเองไม่น้อย “จริงๆ มันก็ยากสำหรับโต๊ดเหมือนกันนะครับ เพราะโต๊ดก็ไม่ได้มีพื้นฐานลึกซึ้งในเรื่องของศิลปะ โต๊ดก็เลยมี self doubt ตลอดเวลาว่าการทำแบบนั้นแบบนี้มันเวิร์คไหม มันโอเคไหม แต่พอออกมาเป็นนิทรรศการจริงๆ โต๊ดรู้สึกพอใจในก้าวนี้ของตัวเองแล้ว และพอคนดูมาบอกว่างานของโต๊ดเปลี่ยนไป โต๊ดก็รู้เลยว่า ‘มันเปลี่ยนไป’ คือคำตอบที่โต๊ดอยากได้ ไม่ใช่ ‘มันสวย’ อีกต่อไป พอได้รู้ว่าตัวเองประสบความสำเร็จในการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม โต๊ดก็รู้สึกแฮปปี้แล้วนะ เพราะการสลัดสิ่งที่เราคุ้นชินมาตลอดออกไปให้ได้นี่มันโคตรจะยากเลย” 

อ่ะ… ยินดีด้วย เราปรบมือให้ ถ้าหลุดออกมาได้ก้าวหนึ่งแล้ว ก้าวต่อไปคืออะไร เคยได้คิดไว้ไหม เราถาม “โต๊ดอยากจะหลบๆ ไปทำคอลลาจใน medium อื่น ตอนนี้โต๊ดได้ลองมาทำคอลลาจกับข้อความ กับกลอนแล้ว ก็รู้สึกสนุกดี แต่ก็รู้สึกว่าการทำงานกับข้อความหรือกลอนมันจะก้าวข้ามวัฒนธรรมไปไม่ได้สักที โต๊ดยังอยากทำงานที่ให้คนที่ไม่รู้เรื่องวัฒนธรรมไทยได้ตีความงานไปได้ ซึ่งนั่นคืองาน visual ที่ก้าวข้ามกำแพงภาษาไปได้ แต่งานกลอน… โต๊ดยังคิดไม่ออกว่าจะทำให้มันข้ามกำแพงไปได้ยังไง แต่ตอนนี้โต๊ดรู้สึกสนุกกับการคอลลาจกลอน และรู้สึกว่ามันไปปลดล็อคอะไรหลายๆ อย่าง แบบที่เขาบอกว่ากลอนไทยเป็นของชนชั้นสูง มีขนบเป็นของตัวเองชัดเจน แต่โต๊ดเอามันมาคอลลาจ อาจจะไม่ได้ deconstruct มันขนาดนั้น แต่ก็ไปรื้อมันมาประกอบสร้างใหม่ เกิดเป็นอะไรบางอย่างที่สามารถปลดล็อคสิ่งอื่นๆ ได้ อย่างเช่น เอาวรรคกลอนที่แต่งโดยสามัญชนคนธรรมดาในยุคปัจจุบันไปอยู่กับวรรคกลอนที่นิพนธ์โดยกษัตริย์ในสมัยก่อน ออกมาเป็นความใหม่ โดยมีเลเยอร์ของประวัติศาสตร์ และแบ็กกราวด์ของกลอนแต่ละท่อนที่ไม่เชื่อมโยงกันอยู่ ก็เลยคิดว่าจะไปสำรวจงานคอลลาจกับเท็กซ์เพิ่มเติม แต่ยังคิดไม่ออกจริงๆ นะว่าจะทำยังไงให้มันข้ามวัฒนธรรมได้” สีหน้าเขาดูครุ่นคิดจริงจังจนเราแอบคิดตามไปด้วยไม่ได้จริงๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้จากงานของโต๊ดตั้งแต่ยุคก่อนไล่มาจนถึงยุคนี้คือ การเข้าถึงง่ายและการสื่อสารกับคนในวงกว้างได้เป็นอย่างดี ซึ่งโต๊ดก็ยอมรับว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจถ่ายทอดออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้ “การตามหาภาพต่างๆ มาคอลลาจของโต๊ดมีหลายแหล่งมากเลยครับ” เขาอธิบาย “โต๊ดจะตามหาจากแหล่งปฐมภูมิอย่างการบุกไปที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งมันยุ่งยากมากเลยครับ” เขาลากเสียง “ก็ไปดูแหละว่ามันพอมีอะไรอยู่บ้าง แต่พอถึงเวลาจะขอทำสำเนา โดยที่โต๊ดไม่ได้เป็นนักวิชาการที่มีมหาวิทยาลัยเป็นสังกัด มันก็จะมีความยุ่งยากมากมายในเชิงโครงสร้าง ความระบบข้าราชการใดๆ โต๊ดก็เลยจะหนีไปหาแหล่งทุติยภูมิ อย่างเช่นหนังสือที่เขาตีพิมพ์มาอยู่แล้ว ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นหนังสือภาษาไทย แต่พอโต๊ดรีเสิร์ชมากยิ่งขึ้น โต๊ดก็ค้นพบว่าแหล่งภาพแบบที่โต๊ดอยากได้ที่มันใหญ่มากจริงๆ คือแหล่งภาพที่ฝรั่งเขาเก็บเอาไว้ตามหอสมุดใหญ่ๆ อย่างหอสมุดแห่งชาติประเทศฝรั่งเศส, British Library หรือห้องสมุดประชาชนนิวยอร์ก มันก็เป็นผลพวงมาจากยุคล่าอาณานิคมนั่นแหละที่ฝรั่งเข้ามาสำรวจใดๆ ในสยามประเทศ และเก็บหลักฐานเป็นภาพถ่ายไว้เยอะแยะ โต๊ดรู้สึกว่าภาพจากแหล่งนี้มันดีมาก เพราะมันเป็นภาพที่ไม่ค่อยมีคนเคยเห็น และเขาสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปได้เอาภาพพวกนี้ไปศึกษา หรือต่อยอดทำอะไรก็ได้ผ่านการอัพโหลดเข้าเซิร์ฟเวอร์สาธารณะ ซึ่งมันก็ตรงข้ามกับนโยบายของราชการไทยโดยสิ้นเชิงที่พยายามบอกว่าห้ามเอารูปภาพเหล่านี้ไปทำก็อปปี้ ห้ามเผยแพร่เสียด้วยซ้ำ เหมือนพยายามทำให้มันเอ็กซ์คลูซีฟมากๆ แบบไม่ให้ทุกคนเข้าถึงได้  ในขณะที่โลกตะวันตกอัพโหลดขุมความรู้ทั้งหมดที่เขามีเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมครับ” นั่นอาจจะเป็นเหตุผลเบื้องหลัง ‘ความเข้าถึงง่าย’ ที่สอดแทรกอยู่ในงานของโต๊ดก็เป็นได้

นิทรรศการ Photo-Alchemy โดยนักรบ มูลมานัส จัดแสดงที่ชั้น 1 Alliance Française Bangkok ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565

 

images
images
images
images
images
images
images
พิสูจน์อักษร : ชลดา สวนประเสริฐ