ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
“ตอนเขารับเข้าทำงาน เขาถามแย็บๆ แบบทีเล่นทีจริงว่า มีแฟนไหม ถ้ามีแฟนก็ไปเลิกเสีย”
แอ๊ด – พีรพัฒน์ วิมลรังครัตน์ เล่าด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงจนทีมงานของเราทำหน้าไม่ถูกว่าตกลงเขาทีเล่น หรือทีจริงกับคำตอบนี้ ที่เราขอให้เขาเล่าถึงที่มาและความเป็นไปที่ทำให้เขากลายเป็นช่างภาพประจำตัวของอดีตนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะครั้งดำรงตำแหน่งอยู่อย่างยาวนานถึง 7 ปีเต็ม “ตอนนั้นผมเป็นช่างภาพให้นิตยสาร oom และได้มีโอกาสได้ไปถ่ายภาพคุณวิทเยนทร์ (วิทเยนทร์ มุตตามระ – อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์) ซึ่งตอนนั้นถ่ายสัมภาษณ์หัวข้อที่พูดถึงเรื่องทะเล ในฐานะที่แกเป็นครูสอนดำน้ำ และก็พ่วงด้วยอีกหนึ่งอย่างในฐานะผู้สมัครส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หลังจากถ่ายรูปและฟังนักเขียนสัมภาษณ์เรื่องดำน้ำจบ แกก็ชวนไปลองดำน้ำดู ผมก็ปฏิเสธไปว่ากลัว คือมันสวยนะ แต่ขอเป็นคนมองเฉยๆ ดีกว่า แกเลยถามต่อว่าสนใจจะทำงานถ่ายรูปคุณอภิสิทธิ์นี่ไหม ให้ลองส่งพอร์ตไปดู ผมก็ลองส่งพอร์ตไปให้คุณสาธิต (สาธิต วงศ์หนองเตย – อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) ที่ดูแลเรื่องหาช่างภาพประจำตัวให้คุณอภิสิทธิ์ ตอนแรกโปรเจ็กต์นี้เป็นโปรเจ็กต์สารคดี ทำแค่สามเดือนเท่านั้น ในวันที่ไปคัดตัวนี่คือวันที่คุณอภิสิทธิ์ทำรายการ ‘เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกอภิสิทธิ์’ ทุกวันอาทิตย์ เราคิดว่าวันนั้นมีช่างภาพที่เป็น candidate เหมือนกับเราไปด้วยแน่ๆ หลังจากวันนั้นเขาก็หายไป 7 เดือน ก่อนจะติดต่อมาว่าเริ่มงานได้เมื่อไหร่ และมีแฟนไหม… นี่ล่ะครับ”
แอ๊ดอธิบายว่าการทำงานเป็นช่างภาพประจำตัวนายกรัฐมนตรีนั้นคือการลงพื้นที่ ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันถึงอาทิตย์ละ 6 วันครึ่ง ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่า การครองตัวโสดในตอนนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับเนื้องานที่เขาต้องรับผิดชอบตลอดสามเดือนเต็ม “ผู้หญิงที่ไหนจะรับได้วะ” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “อยู่กับงานตลอดเวลาขนาดนั้น แต่ตอนนั้นเราก็สนุกกับงานจริงๆ ด้วย เวลาเรามีน้อยน่ะ เรามีโอกาสแค่สามเดือนที่จะเก็บประสบการณ์ ทำอย่างไรที่จะละลายทั้งพฤติกรรมตัวเอง และพฤติกรรมเขาให้เร็วที่สุด เพราะเวลามันกระชั้นมากจริงๆ
“แต่เราเริ่มเห็นพัฒนาการของเขานะ” แอ๊ดนิ่งคิดเมื่อเล่าย้อนอดีต “มันเริ่มจากการที่เราเลือกใช้เลนส์ด้วยแหละ เราเป็นคนที่ใช้เลนส์ 50 mm. เป็นหลัก แต่พอมาทำงานตรงนี้ ก็รู้ว่าบางจังหวะต้องใช้เลนส์เทเล หรือเลนส์ไวด์ เราก็ยืมรุ่นน้องมาลอง แต่พอลองแล้วไม่ชอบ… ไม่ชอบเพราะมันไม่สื่อความเป็นตัวเราด้วยแหละ จริงๆ แล้วเราเชื่อว่าทุกคนจะต้องมีสิ่งที่เริ่มจากความชอบส่วนตัวก่อน แล้วค่อยไปรับใช้คนอื่น เวลาเรามองเขาผ่านเลนส์เทเล เรารู้สึกว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขากับเราเป็นลบ มันยิ่งไกลกันกว่าเดิมเสียอีก แถมเลนส์ก็หนักอีก จากจุดนั้น มันคือจุดเริ่มต้นที่ว่า เขาเห็นเราในระยะที่เขามองเห็นได้ มันก็เริ่มละลายพฤติกรรมระหว่างเรากับเขา จากการได้เห็นเราบ่อยๆ ได้พูดคุยกันเรื่อยๆ จากการที่เดินผ่านไป ไม่ทัก มาเป็นทักทาย เรียกชื่อจริง ตามด้วยชื่อเล่น พอมีงานประชุม G20 ที่ประเทศอเมริกา เราเพิ่งมาทำงานไม่ถึงสองเดือน แต่ก็ต้องรีบบินตามไปทำงานกับเขา ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะละลายพฤติกรรมระหว่างเรากับเขานี่ล่ะครับ”
หลังจากครบสามเดือนตามสัญญาเริ่มแรก แอ๊ดก็เริ่มต่อสัญญาการเป็นช่างภาพประจำตัวอดีตนายกอภิสิทธิ์ไปแบบ ‘เป็นก๊อกๆ’ และพอรู้ตัวอีกทีหนึ่ง เขาก็อยู่ข้างผู้ชายคนนั้นมานานถึงเจ็ดปีแล้ว “การทำงานมันมีโจทย์เป็นดั้งเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็กต์ส่วนตัว หรืองานที่มีลูกค้า” แอ๊ดตอบเมื่อเราถามถึงจุดกึ่งกลางระหว่างความเป็นตัวเอง กับความพอใจของลูกค้าในแบบของเขา “ในช่วงที่ทำงานถ่ายภาพการเมือง มันก็จะมีอคติในรูปแบบหนึ่ง คนที่ไม่ชอบเรา หรือไม่ชอบฝั่งการเมืองที่เราทำ จะมองว่าเราในแง่มุมหนึ่ง หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งเขาก็ไม่ผิดหรอกนะ สำหรับเราการถ่ายคุณอภิสิทธิ์ถือว่าเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งของเรา การถ่ายภาพสำหรับเราคืองานศิลปะ คือความสุข ไม่ว่าผู้ถูกถ่ายจะเป็นใครเรามีหน้าที่สร้างสรรค์ภาพให้เขาดูดีที่สุดในแบบของเขาเอง นั่นคือหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายให้ทำ
เราอยากให้คนมาดูงานที่พัฒนาต่อไปของเรา
ก่อนหน้าและหลังจากที่เราทำงานให้คุณอภิสิทธิ์เรายังเป็นคนเดิมอยู่ไหม
“เราอยากให้คนมาดูงานที่พัฒนาต่อไปของเรา ก่อนหน้าและหลังจากที่เราทำงานให้คุณอภิสิทธิ์น่ะ เรายังเป็นคนเดิมอยู่ไหม เราพัฒนาทั้งตัวเองและงานตัวเองบ้างไหม เราสามารถพูดได้ว่าเราเปิดรับกับโจทย์ใหม่ๆ เพราะหน้าที่เราคือช่างภาพ ผู้บันทึกและสร้างสรรค์ภาพให้บุคคลที่ถูกถ่าย ถ้าคำถามคือว่า เรากลัวคนตัดสินเราไหม ตอบได้เลยว่ากลัว เราเชื่อว่าทุกคนมีจุดนั้นเหมือนกัน แต่ในท้ายที่สุดแล้วคือ เรากำลังทำงานอยู่ เราเป็นช่างภาพ แค่ตั้งใจทำงานตรงหน้าให้ดีที่สุด เราเชื่อว่างานมันจะพิสูจน์ตัวเราเอง”
นอกเหนือไปจากการทุ่มเทหมดหน้าตักให้กับงานตรงหน้าแล้ว แอ๊ดก็ยอมรับว่า ‘จังหวะ’ และ ‘เวลา’ นั้นก็ถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ฝีมือเช่นกัน “ผมหมายถึงเวลาที่เราจะเลือกรูปออกมา เราต้องเล็งจังหวะให้ดีน่ะครับ” เขาอธิบาย “อย่างเช่น รูปคุณอภิสิทธิ์ที่หันมามองกล้องแล้วยิ้ม เราต้องเลือกว่าจะต้องปล่อยในเวลาไหน จังหวะสังคมเป็นแบบไหน ถ้าเราปล่อยรูปผิดเวลา มันคือการทำลายเขาทางหนึ่ง ซึ่งก็เป็นการทำลายทั้งภาพลักษณ์ตัวเขา และภาพลักษณ์ตัวเราเอง คุณไม่สามารถปล่อยภาพเขายิ้มได้ในเวลาที่มีคนเผาเมืองอยู่ได้ ประสบการณ์จากเรื่องแบบนี้ทำให้เราคิดได้เยอะขึ้นว่าจะทำอย่างไรกับงานตัวเอง ไม่ใช่ว่าได้รูปนี้มา ชอบรูปนี้ และจะรีบปล่อยให้เร็วที่สุดครับ
“การถือกล้องเข้าไปในพื้นที่” แอ๊ดอธิบายเมื่อเราถามถึงเหตุผลเบื้องลึกเบื้องหลังความชอบที่จะถ่ายคนในพื้นที่มากกว่าถ่ายภาพพอร์เทรตจัดแสงเนี้ยบกริบ “เราต้องนึกถึงความรู้สึกของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับกล้องเราให้มากๆ ครับ ปัจจุบันช่างกล้องรุ่นใหม่หลายคนจะมีแนวคิดอะไรบางประการว่าถ้าเขาถือกล้องมา แล้วทุกคนจะยินดีให้เขาถ่าย แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มีหลายคนมากที่ไม่ชอบถ่ายรูป ดังนั้น ในแง่ของการเป็นตากล้องลงพื้นที่แบบที่เราชอบ เราชอบถ่ายคนในพื้นที่ เรามีวิถีทางที่จะเข้าถึงคนเหล่านั้น หรือทำอย่างไรให้ได้สิ่งที่อยู่ในหัวเรา ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับว่า เราเข้าไปในพื้นที่ด้วยโจทย์อะไร ต้องแยกให้ออก สมมติว่าเราเข้าไปในพื้นที่กับคุณอภิสิทธิ์ เรารู้อยู่แล้วว่าคนตรงนั้นมาดูเขา นั่นจะง่ายสำหรับเรา เพราะพวกเขาเองก็จะกึ่งๆ ยินยอมที่จะให้เราถ่ายรูปอยู่แล้ว แต่สมมติว่าเราไปลงพื้นที่คนเดียว โดยไม่มีเรื่องราวพาไป แต่ไปเพื่อไปหาเรื่องราว อันนั้นคือโจทย์ยาก แต่จะทำอย่างไรอย่างนั้นเหรอ” แอ๊ดนิ่งคิด “เราจะดูสถานที่ก่อน และเดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มีคนเดินมาถามเองนั่นแหละ เราจะมองหาคนที่เราสนใจในสไตล์เรา แต่ละคนจะชอบถ่ายคนที่แตกต่างกันอยู่เลย สมัยเด็กๆ เคยถ่ายทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น แต่พอกลับมาแล้วถึงขั้นถามตัวเองว่า ถ่ายอะไรมา มันไม่มีประเด็น ไม่มีมุมมองอะไรเลย ก็เลยเปลี่ยนเป็นการค่อยๆ มองสิ่งที่ตัวเองสนใจ อย่างป้ายเลขที่บ้าน การตกแต่งบ้าน หรือการประยุกต์สิ่งต่างๆ เพื่อให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตของเขาในชุมชนนั้นๆ แล้วสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะพาเราไปหาคนที่เราสนใจในชุมชนนั้นๆ เอง และพอเราเริ่มถ่ายสิ่งใดๆ ก็ตาม จะมีคนเดินมาถามเองว่าเราถ่ายอะไร ก็จะนำไปสู่ปฏิสัมพันธ์ การพูดคุย เมื่อก่อนเราอาจจะไม่กล้าคุยมากเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็อธิบายได้ดีขึ้นครับ และที่สำคัญ…” แอ๊ดทิ้งท้าย “เราเข้าไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เราถืออุปกรณ์ไปด้วย เราไม่มีวันรู้เลยว่าคนไหนมาดี หรือมาร้ายอย่างไร เราต้องเซฟตัวเองให้ได้มากที่สุดครับ พูดคุยกับทุกคนอย่างระมัดระวัง และทำให้ตัวเองปลอดภัยให้มากที่สุดครับ”