brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Aug 2025

ครูจื๊อ - พงษ์ศักดิ์​ ตั้งติวาจา
Learn to be Still
เรื่อง: อสมาภรณ์ พิริยะโภคานนท์
ภาพ: ธันวา ลุจินตานนท์
16 Jan 2023

หากใครคลุกคลีกับวงการถ่ายภาพไทยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่าคงพอจะเห็นชื่อ ‘ครูจื๊อ — อาจารย์พงษ์ศักดิ์​ ตั้งติวาจา’ ผ่านตากันมาบ้าง ไม่ว่าจะในฐานะช่างภาพโฆษณา บนเวทีสายประกวด เจ้าของร้านปรินต์ ‘Attapaap’ และที่ขาดไม่ได้คือในฐานะอาจารย์ประจำสาขาการถ่ายภาพ ภาควิชานิเทศศิลป์ คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

และอย่างที่รู้กันว่าวันที่ 16 มกราคมของทุกปีคือวันครู ปีนี้เราจึงขอชวนครูจื๊อมากรอฟิล์มชีวิต ย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่เริ่มจับกล้อง ส่องเนกาทีฟดูวันที่เรียนไม่จบปริญญาโท วันที่กลัวการสอนหนังสือ จนถึงวันนี้ที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานหลักสูตรการศึกษาสาขาการถ่ายภาพ

ภาพถ่ายเข้ามามีบทบาทในชีวิตของครูจื๊อตั้งแต่ตอนไหน

เราเป็นคนที่สนใจเรื่องการท่องเที่ยวมาก เพราะตั้งแต่เด็กพ่อแม่ไม่ค่อยปล่อยให้ออกไปไหน ตอนนั้นสิ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนไปเที่ยวคือการอ่านหนังสือ เราชอบอ่านอนุสารอ.ส.ท. (องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) กับนิตยสารสารคดี แล้วก็คิดมาตลอดว่าการถ่ายรูปเป็นข้ออ้างที่ดีที่จะพาเราออกไปท่องเที่ยว ก็เริ่มสนใจเรื่องกล้องตั้งแต่นั้น อาชีพที่อยากเป็นจริงๆ แล้วคืออยากเป็นช่างภาพท่องเที่ยว

โตมาเราเลยเลือกสอบเข้าครุศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ปรากฏว่าเรียนได้ประมาณ 2 ปีก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยตอบโจทย์ กลัวว่าอยู่ต่อไปเราจะต้องไปเป็นครู เราขี้อาย ไม่อยากยืนสอนหน้าห้อง ในจังหวะที่คิดว่าหนีดีกว่าก็มีเพื่อนที่ซิ่วไปลาดกระบังเอางานกลับมาให้ดู เราเห็นว่างานคณะเขาน่าสนุกมาก ก็เลยตัดสินใจซิ่วมาที่สาขานิเทศศิลป์ ลาดกระบังบ้าง

พอจบมา เราคิดไว้ว่ามีแค่ 2 อาชีพเท่านั้นที่อยากจะเป็น คือเป็นช่างภาพ หรือไม่ก็เป็น Copywriter โอกาสอะไรมาก่อนจะเป็นอันนั้น สรุปว่าได้งาน Copywriter ก่อน ทำให้เราได้เห็นวิธีการทำงานของฝั่งโฆษณามากขึ้น แต่อยู่ไปได้ถึงจุดนึงก็คิดว่าการเป็น Copywriter มันไม่ค่อยสนุกแล้ว เราก็โอเค ยังเหลืออีกแพสชั่นนึงคือเป็นช่างภาพ แต่เรารู้ตัวว่าคงเป็นได้ลำบากเพราะพื้นฐานเราน้อย ก็เลยตัดสินใจยื่นเรียนต่อที่ Brooks Institute of Photography สหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่ามีข้อเขียนถามว่าอยากเป็นช่างภาพแบบไหนด้วยนะ เราก็ยังเขียนตอบไปว่าเป็นช่างภาพท่องเที่ยว 

แต่พอถึงเวลาต้องเลือกวิชาเอก ครูจื๊อกลับเลือกเอก Portrait แทน

ใช่ ผมเป็นคนไทยคนเดียวที่เลือกเอก Portrait ซึ่งคนสอนตอนนั้นเป็นคุณลุงอายุประมาณ 70 เพื่อนก็งงว่ามึงเลือกทำไม บ้ารึเปล่า (หัวเราะ) แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือทักษะการวิจารณ์ เอางานคนอื่นมาศึกษากัน ซึ่งเรารู้สึกว่าเป็นชั่วโมงการเรียนการสอนที่มีค่ามาก 

แล้วยิ่งมีเดิมพันว่าเราเลือกเรียนกับคุณลุงแก่ๆ โบราณๆ ขณะที่เพื่อนไปเลือกวิชาเอกเก๋ไก๋กันหมด เราเลยยิ่งต้องผลักดันตัวเองมากกว่าเดิม ถึงแม้ทุกคนจะมองว่า Portrait เชย แต่เราโอเคกับมันนะ รู้สึกมาถูกทาง 

เราเพิ่งค้นพบตอนนั้นเองว่าที่จริงเราเป็นสาย Portrait มาตลอด เป็นมาตั้งนานแล้ว ย้อนไปตอนเด็กๆ เวลาจะเขียนหรือจดอะไร เราจะวาดเป็นรูป แล้วในบรรดารูปที่เราวาดไว้ ถ้าสังเกตดูดีๆ จะมีแต่รูปหน้าคนเต็มไปหมดเลย เราเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีแพสชั่นกับหน้าคนมานานแล้ว เวลาเห็นเขายิ้ม เห็นเขาสื่อสารกับเรา สำหรับเราการถ่ายใบหน้าคนเป็นเหมือนพื้นที่ที่ทำให้เราได้เชื่อมต่อกับคนอื่น 

เห็นว่าครูจื๊อกลับมาทำธีสิสที่ไทยด้วย เล่าชีวิตช่วงนั้นให้ฟังหน่อย 

ด้วยความที่มหาวิทยาลัยค่อนข้างจะให้อิสระเรามาก ช่วงกลับมาไทยเพื่อทำธีสิสเราเลยมีโอกาสไปลองทำงานช่างภาพโฆษณา จับพลัดจับผลูเป็นยุคที่โฆษณาบูมพอดี เราก็ตกหลุมอยู่ในกระแสของงานนั้น เพราะรับถ่ายรูปได้เดือนละเป็นแสน เราก็เพลิน จนผ่านไปปีกว่า มหาวิทยาลัยส่งจดหมายมาบอกว่าธีสิสเราเกินระยะเวลาแล้ว หมดสิทธิ์จบปริญญาโท เราก็เฟลเลยนะ เพราะเรียนมาตั้งนานสุดท้ายไม่ได้วุฒิอะไรเลย 

แล้วสุดท้ายมาลงเอยที่อาชีพครูได้ยังไง ตอนแรกครูจื๊อบอกว่าไม่อยากเป็นครูไม่ใช่เหรอ

มันอยู่ในช่วงที่กลับมาเพื่อทำธีสิสปริญญาโทนี่แหละ อธิบายก่อนว่าปกติแล้วอาจารย์ที่คณะเราจะสลับไปสลับมา มีเวียนกันสอนบ้างเพราะอาจารย์ไม่พอ เราก็มาเป็นอาจารย์พิเศษช่วยที่คณะ จำได้ว่าคลาสแรกเราหอบหนังสือมาเยอะมาก แล้วก็เกร็งมาก กลัวมาก เพราะอย่างที่บอกว่าเราเป็นคนไม่กล้าพูดในที่สาธารณะ แต่สุดท้ายก็สอนนะ จนปีพ.ศ. 2545 ที่คณะมีตำแหน่งว่าง เราก็เลยสมัครไป ทีนี้อยู่ยาวเลย 20 ปี 

แล้วด้วยความที่เราเป็นเด็กไม่ฉลาด เราเลยมีวิธีสอนนักศึกษา เราใจเย็นพอ เรารู้ว่าเราจะสอนเขายังไง ซึ่งคิดไปคิดมาเราว่าเป็นเรื่องดีเสียอีกที่เราไม่ค่อยเก่ง เพราะถ้าเราเก่ง เราอาจจะพูดไม่เป็น อธิบายเด็กไม่ได้แบบที่ทำอยู่ 

ทั้งในฐานะของนักเรียนและอาจารย์ การเรียนการสอนของไทยกับต่างประเทศต่างกันยังไง

ถ้าในฐานะครูเราว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่นะ เพราะอาจารย์ที่สอนในไทยหลายคนก็เอาหลักสูตรจาก Brook มาสอนเหมือนกัน ยิ่งตอนนี้ในยุคดิจิตอล เราว่าชุดความรู้หรือ Know-how มันเชื่อมถึงกันหมดแล้ว ทักษะเริ่มเท่าเทียมกัน แต่สิ่งที่ไทยเราต้องปรับตัวให้เร็วขึ้นคือระบบความคิด เราต้องหาวิธีรับมือกับกระแสสื่อที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วให้ได้ ถ้าพูดถึงในแง่การวางแผนการสอน ตอนนี้เรียกได้ว่าทดลองกันใหม่ทุกเทอม คือกระแสมันเปลี่ยนเร็วจริงๆ พอหลักสูตรกำลังจะได้ผล อ้าว กระแสเปลี่ยนอีกแล้ว เป็นปัญหาที่เรายังแก้ไม่ตก แล้วอาจจะไม่ใช่แค่กับภาพนิ่งด้วยนะ เราว่าในทุกสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก็น่าจะเจอปัญหานี้อยู่  

แต่ในฐานะนักเรียน เราเห็นมาตั้งแต่ยุคเราแล้วว่าเด็กไทยไม่ค่อยถาม ไม่หือไม่อือ จะเอาอะไรก็ไม่บอก ดังนั้นข้อดีของการไปเรียนต่างประเทศ สำหรับตัวเองเลยคือเรากลายเป็นคนตัดสินใจเร็วขึ้น ยอมรับผลการตัดสินใจของตัวเองได้มากขึ้น จากเดิมตอนเรียนอยู่ไทยเราลังเล กล้าๆ กลัวๆ ตลอด แต่พอกลับมา แม้แต่เพื่อนยังทักเลยว่าความคิดเราคมขึ้นมาก ซึ่งเราว่าเป็นผลจากบรรยากาศการเรียนและการใช้ชีวิตที่นั่น มันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ไม่อย่างนั้นตอนกลับมาก็จะไม่กล้าไปสอนหนังสือหรอก 

การเป็นช่างภาพกับอาจารย์สอนถ่ายภาพมีความเหมือนหรือต่างกันบ้างไหม

สำหรับเราเมื่อก่อน 2 อย่างนี้เป็นหมวกใบเดียวกันได้ ใส่เดินไปเดินมาได้เลย เด็กบางคนชอบด้วยที่เราเป็นแบบนั้น เป็นอาจารย์ที่ถ่าย American Next Top Model แต่ตอนนี้เราไม่กล้าใส่หมวกเดินไปเดินมาแบบนั้นแล้ว เพราะวงการมีช่างภาพเยอะขึ้นมาก บางครั้งเด็กที่จบมาก็เก่งกว่าเราไปอีก งานที่เราเคยถ่ายก็ไปอยู่กับรุ่นน้อง รุ่นลูกหลานหมดแล้ว พอตรงนั้นหายไปเราเลยโฟกัสกับการเป็นอาจารย์มากกว่า ชัดเจนไปเลย แต่โปรเจกต์ส่วนตัวก็ยังทำอยู่นะ ทำเล่นๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก

ครูจื๊อชอบอะไรมากกว่ากัน

เล่าก่อนว่าสิ่งที่เราต้องเจอจากการเป็นช่างภาพโฆษณาคือแรงเสียดทางจากลูกค้า ทำแล้วได้เงิน ได้ชื่อเสียงก็จริง แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคืองานมีแรงกดดันเยอะมาก วิธีที่เราจะปลดปล่อยความครียดเหล่านั้นได้เลยมาลงกับการสอน มองว่าการสอนเป็นการชุบชูหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเด็กมาปรึกษาแล้วเราแก้ปัญหาให้เขาได้ เด็กยิ้มออก เราจะโคตรมีความสุขเลย

สำหรับครูจื๊อ อะไรคือคุณสมบัติของคนเป็นอาจารย์

เราว่าตอนนี้อาจารย์ทุกท่านทำหน้าที่คอยสอดส่อง ให้คำปรึกษา สุดท้ายคือเป็นนักจิตวิทยา ถ้าเราเห็นว่าเด็กคนไหนทำท่าจะไม่ดี เราต้องเข้าไปถามแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เรียนไหวไหม เพราะปัญหาที่เด็กเผชิญตอนนี้ไม่เหมือนกับที่เราเคยเจอ สมัยก่อนว่ายากแล้วนะ แต่ปัญหาของเด็กตอนนี้คือบ้านแตก ครอบครัวพัง เด็กยุคนี้แตกสลายมาก แล้วมันส่งผลกับงานเขาเยอะ ส่งผลต่อวิธีคิด วิธีการทำงาน เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นครูที่ใจร้อนหรือไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะตัดสิทธิ์เด็กไปหลายคนมาก แต่ถ้าเราเข้าไปคุยกับเขาก่อน เขาจะอยู่ได้ จะไม่หายไประหว่างทาง คนเป็นครูถึงต้องเปิดกว้าง ต้องเปิดรับให้ได้กว้างเท่าที่เด็กเปิดใจ

ตลอดระยะเวลาการสอน มีการเปลี่ยนผ่านตามยุคสมัยอะไรที่เห็นได้ชัดเป็นพิเศษไหม

อย่างที่เรารู้กันคือความคิด ความเชื่อ ระบบการเมืองการปกครอง หรือระบอบหลายๆ อย่างพลิกไปมาก เมื่อก่อนเรื่องพวกนี้อยู่ใต้พรม ไม่ได้ถูกเอามาผลิตเป็นชิ้นงานอย่างแพร่หลาย แต่ตอนนี้นักศึกษามีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกมากขึ้น หยิบขึ้นมาพูดมากขึ้น เราก็เริ่มเห็นว่าสิ่งที่อยู่ข้างใต้นั้นจริงๆ มันมีมานานแล้วนะ เพียงแต่เราเพิ่งจะเข้าใจตอนเห็นเด็กพูด เราก็ต้องปรับตัว ปรับวิธีการคิดการสอนกันไป อาจารย์ทุกคนก็เปิดใจมากขึ้น

อย่างเด็กสมัยก่อนเขาก็จะพูดเรื่องดอกไม้ สายลม แสงแดด เราก็ตรวจไป ยิ้ม เพลิน ตอนนี้ตรวจงานนักศึกษาเริ่มเครียด เพราะเมื่อเป็นงานที่พูดถึงลัทธิความเชื่อ เราไม่มีสิทธิ์จะฟันธงว่าถูกหรือผิด เราดูได้แค่จากเนื้องาน ดูวิธีการนำเสนอความคิด เราจะไม่ไปแตะว่าเด็กคิดแบบนี้ ตรงข้ามกันความคิดกู ผิด ไม่ใช่แบบนั้น เรามองว่ามันเป็นพัฒนาการของสังคมมากกว่า จะช้าเร็วสิ่งนี้เกิดขึ้นแน่นอน

นอกเหนือจากนั้นด้วยความที่สอนมา 20 ปี เราชินหมดแล้ว เหมือนเวลาคุณเห็นหน้าใครทุกวัน คุณจะไม่รู้สึกหรอกว่าเขาอ้วนขึ้นหรือผอมลง เรามองว่าเป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นแบบปกติ นิสัยเด็กเปลี่ยน วิธีการทำงานของเด็กเปลี่ยน เพราะฉะนั้นวิธีคิดและวิธีการสอนของอาจารย์ต้องเปลี่ยนตาม การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแบบนี้ส่งดีต่ออาจารย์ด้วย เราจะได้ฝึกสมองบ้าง เปลี่ยนวิธีคิดบ้าง ทำให้เราไม่นิ่ง ไม่เป็นของตาย

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา จุดร่วมของคนที่เข้ามาเรียนภาพนิ่งคืออะไร ตั้งแต่ยุคครูจื๊อจนถึงยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างไหม

จุดร่วมที่เหมือนกันทุกรุ่นคือการต้องการอิสรภาพ ทุกคนมีแพสชั่น อยากเติบโตเหมือนกันทุกรุ่น แต่สิ่งที่ต่างกันคือเด็กรุ่นนี้ได้รับ ส่วนรุ่นเราไม่ได้ คนสมัยเราเลยอ้อมชีวิตไปไกล อย่างค่านิยมว่าเรียนหมอได้แต่ห้ามเรียนนิเทศ มันทำให้เราเสียเวลาไปเยอะกว่าจะเติบโต เราเพิ่งมีอิสระตอนอายุ 21 ตอนได้ไปเรียนต่างประเทศ ดังนั้นจะเห็นชัดเลยว่าเรามีความกลัวๆ กล้าๆ เวลาทำงาน แต่ในยุคนี้ที่กรอบของสังคมเหล่านั้นถูกยกออกไปแล้ว เด็กอาจจะมีอิสระตั้งแต่อายุ 13 ได้รับการส่งเสริม ได้รับความมั่นใจตั้งแต่เด็ก เราเลยมองว่าจริงๆ โอกาสเขามีเยอะกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่เยอะเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีนะ เราเป็นรุ่นที่ผ่านการเสียเวลามามาก เราก็เลยเข้าใจว่าเด็กไม่ควรจะต้องเจอแบบที่เราเจอ 

ภาพรวมของนักศึกษาภาพนิ่งในไทยตอนนี้เป็นยังไง

สิ่งที่เรามองเห็นชัดคือเรื่องของต้นทุน ในสมัยเรานักศึกษาไม่ได้มีทุนชีวิตต่างกันมากนัก แต่ในยุคนี้ถ้าสังเกตดู นักศึกษาที่มาจากโรงเรียนเก่งหรือโรงเรียนขนาดใหญ่จะมีต้นทุนทางความคิดที่ดีกว่า มีต้นทุนเรื่องภาษา มีโอกาสได้ดูงานต่างประเทศ ซึ่งช่วยเรื่องการทำงานได้เยอะ แต่สิ่งที่ทดแทนกันคือเรามองว่าเขาจะไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าเพื่อนที่มีต้นทุนชีวิตต่ำกว่า บางครั้งเด็กที่ไม่ค่อยมีต้นทุนจะมีแรงขับให้ไปได้ไกลมาก เพราะเขาสู้ เขามีต้นทุนที่ไม่เหมือนใคร เป็นต้นทุนของพลัง

อีกอย่างที่ชัดมากคือความหลากหลายทางความคิด ความกล้าหาญที่จะยอมรับตัวเองในระดับปัจเจกบุคคล เด็กที่เป็น LGBTQA+ กล้าแสดงออกมากขึ้น ทำให้งานเขาออกมาชัดเจน พอเขามั่นใจ รู้สึกดีกับตัวเอง งานก็ไปได้สุดทาง เราเองก็ได้เห็นงานที่หลากหลายขึ้น เห็นงานที่เป็นสูตรสำเร็จน้อยลง บางครั้งมีงานที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนจนตัดสินไม่ถูก เรียกได้ว่าคนเป็นอาจารย์ก็ตื่นตาตื่นใจ 

แล้วนักศึกษากำลังมองหาอะไรอยู่

บอกได้ยากว่าเด็กแต่ละรุ่นเข้ามาแล้วมองหาอะไร แต่ช่วงหลังๆ มามีเด็กหลายคนที่ยังไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางไหน ยิ่งกับสายภาพนิ่งที่เฉพาะทางมากยิ่งเป็นปัญหา เพราะเราจะถูกจำกัดด้วยชุดความคิดเดิมๆ ว่าจบไปแล้วต้องเป็นช่างภาพ ซึ่งเรายืนกรานว่าไม่ได้ต้องการแบบนั้น เราถึงสอนวิชา Art Direction สอนเรื่องครีเอทีฟ สอนการถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือแม้กระทั่งการออกแบบสิ่งพิมพ์ เพราะเราต้องการให้เกิดความหลากหลาย เด็กต้องเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ ต้องมีงานทำ จะจบไปเป็นช่างแต่งหน้า เป็นสไตลิสต์ เป็นโปรดิวเซอร์ ทำโปรดัคชั่น ก็เป็นได้ ไม่มีอะไรเสียหาย สิ่งสำคัญคือเรียนจบปริญญาตรีแล้วมีงานทำ มีชีวิตอยู่รอด จบ ควรจะคิดแบบนั้นนะ

ถ้าเรายังขีดเส้นว่าจบภาพนิ่งต้องทำงานภาพนิ่ง สมมุติว่าในตลาดมีตำแหน่งงานอยู่ 15 ตำแหน่ง เฉพาะที่นี่จบไปปีละ 60 คน แล้วเด็กที่เหลือทำยังไง เขาเป็นลูซเซอร์หรอ ก็ไม่ใช่ไง บางคนอาจจะเข้ามาเรียนถ่ายภาพเพื่อที่จะเรียนรู้ว่าจริงๆ เราไม่ได้อยากเป็นช่างภาพก็ได้ เราเบื่อประเภทที่ฝังหัวว่าจบอะไรต้องเป็นอย่างนั้น มันต้องเลิกได้แล้ว เราจบไปจะเป็นอะไรก็ได้ อย่างน้อยขอให้เด็กได้แรงบันดาลใจจากวิชาที่เราสอน เรายินดีหมดเลยไม่ว่าลูกศิษย์เราจะออกมาเป็นอะไร

พูดถึงเรื่องตำแหน่งงานไม่เพียงพอกับเด็กจบใหม่ ในฐานะครูมีวิธีรับมือยังไง

ต้องยอมรับว่าตลาดแรงงานไม่ได้มีจำนวนเหมาะสมกับจำนวนคนที่จบไปอยู่แล้ว เป็นแบบนี้เกือบทุกสาขาอาชีพ ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่อะไร เด็กรุ่นก่อนๆ อาจจะโชคดีกว่าตรงที่มีอัตราการจัดจ้างของนิตยสารมารองรับ ตอนนี้พอมันไม่มีตรงนั้นแล้ว เราจึงบอกเด็กว่าตอนเลือกที่ฝึกงาน เลือกให้ดี เพราะมันจะส่งผลกับการจ้างงาน 

การจ้างงานที่พูดถึง คือไม่ว่าจะเป็นสาขาภาพนิ่งหรือเขาจะไปทำวิชาชีพอื่นเลย เราก็คิดว่าดีหมด เด็กยังอยู่ในสังคมได้ การเรียนรู้กับเรา 4 ปีทำให้เขาเอาความรู้ไปใช้ทำงานอาชีพอื่นได้ เราเพิ่งพูดตอนปฐมนิเทศน์นี่เองว่าการจบไปแล้วต้องทำอาชีพอื่นมันไม่ใช่การสูญเปล่าทางการศึกษาอะไรเลย กลับกัน ตราบใดที่คุณยังทำงานได้ ไม่ว่าจะงานอะไรก็ตาม แล้วมองการศึกษาให้เป็นการศึกษาชีวิต มันจะไม่ใช่เรื่องน่าเสียดาย ยิ่งในช่วงโควิด การหางานก็ยิ่งยากกว่าเดิม เราเลยบอกเด็กไปว่าถ้าเรายังเจอหน้ากันในช่วงโควิดได้ แปลว่ามึงเก่งพอแล้ว ทำได้ดีแล้ว แค่นั้นเลย 

แล้วในช่วงเวลาที่กระแสนักเรียนภาพนิ่งกำลังลดลงเรื่อยๆ แบบนี้ สาขาภาพนิ่งจะยังจำเป็นอยู่หรือเปล่า

ไม่ได้ไปดูของมหาวิทยาลัยอื่นว่าเป็นยังไง แต่ของลาดกระบังเราลดลงแบบน่าใจหาย ปกติจำนวนสมัครจะมากกว่าจำนวนรับเข้าอยู่ 2-3 เท่า ตอนนี้เริ่มเหลือแค่เท่าครึ่ง ไม่รู้ว่าต่อไปจะต่ำกว่านี้อีกรึเปล่า พอสอบถามเด็กที่มาสมัครปี 1 เขาบอกว่าสืบค้นสาขาเราไม่ค่อยเจอ การประชาสัมพันธ์ออนไลน์หายาก ซึ่งก็อาจจะมีส่วนนะเรื่องการโปรโมตไปไม่ถึง หรือว่าถึงแล้วแต่เด็กไม่มาก็ไม่รู้ ก็เป็นปัญหาที่เรากำลังเผชิญ

แต่ถ้าถามว่าสาขาวิชาภาพนิ่งยังจำเป็นหรือเปล่า เราว่ายังจำเป็นอยู่ เพราะองค์ความรู้หรือทักษะบางอย่างยังต้องเรียนรู้ผ่านการเรียน ผ่านประสบการณ์ตรง ผ่านคาแรคเตอร์ของคนสอน โดยเฉพาะความสามารถด้านการสร้างสรรค์ เราว่ามันเรียนออนไลน์ไม่ได้ ต้องตัวต่อตัว

ถ้ายังจำเป็นอยู่ เราจะเอาตัวรอดกันด้วยวิธีไหน

สาขาภาพนิ่งยังจำเป็นต้องมีอยู่ แต่รูปแบบของมันก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเช่นกัน ต้องทำให้สาขาของเราเป็นพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนเข้ามาได้ ตอนนี้มีนักศึกษาคณะอื่นอยากเรียนภาพนิ่งมากมายแต่เข้ามาไม่ถึง เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ให้บริการวิชาการสำหรับคนทั้งมหาวิทยาลัย เราถึงจะรอด  

ที่จริงเราเห็นด้วยกับแนวทางนี้มากกว่าการจะดำรงสาขาภาพนิ่งไว้ด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ใช่เรื่องอีโก้ มันคือเรื่องของการหาวิธีเอาตัวรอดในชีวิตความเป็นจริง 

อย่างที่รู้กันว่าอุตสาหกรรมบ้านเราไม่ได้อนุญาตให้ช่างภาพสรรค์สร้างผลงานได้อิสระเท่าตอนเรียน ครูจื๊อคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง 

นักศึกษาทุกคนรู้อยู่แล้วว่าออกไปจะเจอลูกค้า เขารู้อยู่แล้วว่าโลกที่รอเขาอยู่ไม่ได้ดี และเด็กสมัยนี้ก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก เราจึงบอกเขาเสมอว่าใช้ช่วงเวลาที่ยังเรียนอยู่ให้ดี เพราะมันจะเป็นช่วงเดียวที่คุณมีโอกาสได้สร้างสรรค์อย่างที่ตัวเองต้องการ หลังจากนี้ถ้าคุณมีลูกค้า จบแล้ว จนกว่าคุณจะไปถึงอีกระดับหนึ่งที่ลูกค้าซื้อคุณที่ตัวตนของคุณจริงๆ

เราเลยมองว่าการผลักดันให้เด็กปล่อยพลังความสร้างสรรค์เป็นการเติมกำลังใจให้เขามากกว่า ให้รู้สึกดีกับการทำงาน อยากทำอะไรปล่อยให้เขาทำ เป็นการต่อเชื้อไฟกันไป 

20 ปีที่ผ่านมา สิ่งท้าทายในการสอนคืออะไร

ปัญหาของระบบการศึกษาคือเราไม่มีสิทธิ์คัดวัตถุดิบ ระบบจะส่งเม็ดกรวด เม็ดทราย ผลึกเกลืออะไรมาก็ตาม แต่ผลลัพธ์ต้องการจากเราคือเพชร คำสั่งง่ายมาก แต่เราจะทำยังไง (หัวเราะ) แต่อย่างที่บอกว่าเราก็ใช้วิธีจิตวิทยา พยายามเข้าใจเขา แล้วพอเด็กให้ใจกับเรา เขาก็จะไม่เลื่อนลอยอีกต่อไป 

เป้าหมายที่วางไว้หลังการเข้ามาเป็นประธานหลักสูตรภาพนิ่งคืออะไร ตั้งใจจะส่งคนแบบไหนออกไปสู่วงการและสังคม 

มีอยู่ 3 เรื่องที่เราสนใจและคิดว่าจะน่าจะทำได้จริง อย่างแรกคืออยากจัดนิทรรศการ 20 ปีสาขาภาพนิ่ง สองคือทำให้คณะรู้สึกว่าสาขาเรายังต้องมีอยู่ด้วยการทำเวิร์กช็อป ทั้งการถ่ายคน ถ่ายโฆษณา หรือแฟชั่น สุดท้ายคือจัดกิจกรรมรับใช้สังคม

ที่บอกว่าอยากทำงานกับสังคม เพราะเราอยากเห็นความสร้างสรรค์ของเด็กก็จริง แต่ไม่ได้อยากเห็นเด็กทำงานที่เลื่อนลอย เราอยากให้เด็กอยู่กับความเป็นจริงกันมากกว่านี้ ถ้าเขาอยากทำให้สังคมเท่าเทียม งั้นเราพาเข้าไปรู้จักสังคมจริงๆ สักหน่อย พารู้จักชาวบ้าน แค่นั้นเอง จะใช้ไม่ใช้ก็อีกเรื่อง แต่เราอยากให้เด็กได้เข้าใจโลก

อ้อ สุดท้ายคือทำยังไงก็ได้ไม่ให้สาขาโดนยุบ (หัวเราะ) 

บทเรียนสำคัญที่สุดสำหรับนักศึกษาภาพนิ่งคืออะไร

 จงสร้างผลงานที่ไม่มีขีดจำกัด

อยากให้ใช้อิสระที่รุ่นเราไม่เคยได้รับมาเป็นเครื่องยกระดับผลงานของตัวเอง เมื่อได้รับอิสรภาพแล้วอย่าติดอยู่กับการทำงานภาพถ่ายแบบเดิมๆ นอกจากสื่อปรินต์ นอกจากสื่อออนไลน์ งานเราไปไหนได้อีก ความคิดของเราล้ำหน้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นงานของเราต้องตอบสนองความก้าวหน้านั้นให้ได้