ภาพ: ธันวา ลุจินตานนท์
หากมีการนัดหมายสัมภาษณ์ศิลปินที่แกลเลอรี ผมมักเดินทางมาถึงก่อนเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เพื่อต้องการใช้เวลาปะทะคารมกับวัตถุจัดแสดงแต่ละชิ้นก่อนที่จะได้ซักถามศิลปินผู้สร้างเรื่องเล่าให้แก่ความทรงจำแผ่นสี่เหลี่ยมเหล่านี้
เมื่อเดินสำรวจตามเส้นทางนิทรรศการที่วางไว้แล้ว ผมหยุดดูโพเดียมตรงกลางห้อง บนโพเดียมนั้นมีนาฬิกาที่ถูกจำลองขึ้นมาโดยรอบข้างเข็มนาฬิกามีรูปถ่ายของสวนลุมพินีวางอยู่ให้ดูประกอบ น้องคนหนึ่งที่ยืนต้อนรับด้านหน้าทางเข้านิทรรศการค่อยๆ ย่างเข้ามาหาโดยไม่รบกวนสมาธิของผมขณะจดจ้องผลงาน พร้อมกล่าวคำทักทายและขออาสาเป็นคนนำชม ผมผายมือก้มโค้งรับไม่ขัดขืน “ตัวงานชิ้นนี้พี่กรกฤชเขาตั้งใจจำลองเรื่องราวของสวนลุมพินีขึ้นมาจากการที่เขาไปศึกษาแล้วพบว่าครั้งหนึ่งพื้นที่ในสวนลุมเคยถูกใช้เป็นที่นัดเจอกันของกลุ่มเกย์ เขาจึงเข้าไปบันทึกตามหมุดที่เคยถูกอ้างว่ามีการพบเจอกัน” พอเสร็จจากตรงนี้ไกด์ของเราก็เริ่มนำชมตั้งแต่ภาพแรกที่เป็นภาพของคอคอดกระที่จังหวัดระนอง พื้นที่ที่ต้องการสร้างขึ้นเพื่อรองรับการเดินทางของสินค้าที่รวดเร็วมากขึ้น แต่ต้องถูกระงับไว้โดยบุคคลบางกลุ่ม ลำดับถัดมาเป็นภาพขาวดำของเวทีหนึ่งในสวนลุมพินี ผู้นำชมของผมบอกว่า “พี่กรกฤชไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ภาพมันเอียงหรือเบี้ยว แต่พอพรินต์ออกมาแล้วเป็นแบบนี้แกก็มองว่ามันมีความน่าสนใจบางอย่าง” และชุดถัดมาต่อจากภาพสวนลุมพินีจะเป็นชุดภาพในอพาร์ตเมนต์ของศิลปินในช่วงที่ประเทศกำลังอยู่ในช่วงล็อคดาวน์ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นที่เตะตาเพราะผมไม่เคยเห็นการเม้าติ้งภาพถ่ายบนประตูบ้านมาก่อน ต่อด้วยรูปภาพคูน้ำช่วงเวลาเย็นที่สวนลุมพินี ผมสังเกตจากน้ำเสียงดูเหมือนว่าน้องคนนี้เขาจะชอบรูปนี้เป็นพิเศษ “ภาพนี้เป็นภาพเบลอ แต่พี่เขาก็แฝงนัยยะไว้ว่า จริงๆ แล้วถ้าย้อนกลับไปในช่วงการถ่ายภาพในยุคสมัยนึง ภาพนี้อาจจะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นภาพเบลอก็ได้ แต่มันเบลอด้วยความคมชัดของยุคสมัยที่ขีดเส้นไว้แบบนี้” และลำดับต่อมาเป็นรูปทิวทัศน์บนชายหาดในจังหวัดระนองและภาพของหญิงสาวที่เป็นหนึ่งในพลังงานสำคัญของบันทึกการเดินทางที่จังหวัดระนอง ปิดท้ายด้วยรูปป่าชายเลนที่มองเข้าไปทางลึกจะเห็นแสงและเงาเรียงตัวสลับกันไม่รู้จบ ช่วงเวลานั้นความรู้สึกนึงก็เหมือนบอกว่านี่คือทางตันให้หันหลังกลับและอีกความรู้สึกนึงก็ชวนให้เดินกรุยฝ่าเข้าไป
หลังจากให้เวลาตัวเองอยู่ครู่นึง ผมรู้สึกได้แหวกว่ายไปในบึงของความทรงจำ ความทรงจำที่ถูกขึ้นรูปด้วยต้นตอของการต่อต้านขนบ ผมไม่เคยรู้สึกถูกเชื้อเชิญให้เดินสำรวจเข้าไปในความทรงจำของใครเท่าครั้งนี้ ชนชั้นของวัสดุในนิทรรศการทั้งหลายเพิ่มมิติให้กับพื้นที่ ขับความหมายเสริมเรื่องราวให้กับภาพเป็นอย่างดี
สุนทรียของชั่วขณะถูกร้อยเรียงด้วยข้อมูลประวัติศาสตร์ โดยความทรงจำที่อยู่รอบตัวนั้นเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจับต้องได้และในบางเวลาก็ดูเหมือนว่าจับต้องไม่ได้ เสน่ห์ในงานของกรกฤช เจียรพินิจนันท์แต่ละครั้ง (โดยเฉพาะครั้งนี้) เขามีความสามารถในการใช้เทคนิคของการติดตั้ง การพรินต์ การเข้ากรอบที่สร้างปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่จัดแสดงได้อย่างสนุก
นิทรรศการ “Thru The Straits of Demos” มีจุดเริ่มต้นจากหนังสือสามเล่มของกรกฤช ได้แก่ POEM ลำดับที่ 19 ถึง 21 แต่ละเล่มจะมาจากบันทึกการเดินทางต่างสถานที่กัน เล่มที่ 19 สวนลุมพินี เล่มที่ 20 ระนอง เล่มที่ 21 อพาร์ตเมนต์ส่วนตัว ซึ่งเคยมีคิวเรเตอร์คนหนึ่งกล่าวไว้ว่าการพรรณนาของห้วงเวลาจากต้นทางจนปลายทางของหนังสือชุดนี้คล้ายกับกลอนนิราศ สำหรับผม POEM เป็นบันทึกการเดินทางส่วนตัวของศิลปินที่แสดงโดยตัวละครที่ต่างกันและสามารถเห็นพลวัตของความเป็นไปผ่านภาพนิ่งที่ร้อยเรียงกัน ที่น่าสนใจ POEM มักถูกนำเสนอในสไตล์ภาพลักษณะเดียวกันโดยในแต่ละเล่มจะดำเนินเรื่องผ่านภาพแนว Environmental Portrait และ Staged Photography ที่เป็นพื้นเพของศิลปินในฐานะช่างภาพแฟชั่น, Landscape การบรรยายถึงกายภาพของพื้นที่ที่แตกต่างกันไปและ การหยุดเวลาที่ดำเนินไปบนโลกเพื่อจดจำสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
– สุนทรียศาสตร์ที่ว่าด้วยความทรงจำ –
ก่อนอื่นขอทำความรู้จักกับคุณกรกฤชในเบื้องต้นก่อนครับ คุณกรกฤชเรียนจบสาขาภาพพิมพ์กับภาพถ่ายที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ใช่ไหมครับ
ตอนนั้นที่มช. ปริญญาตรีสายศิลปะเราต้องเรียนวิชาโทหนึ่งคอร์สและวิชาเอกหนึ่งคอร์ส เราก็เลือกเรียนวิชาโทภาพถ่ายและวิชาเอกคือภาพพิมพ์
แต่ตอนนี้ได้ทำงานภาพถ่ายมากกว่า
ใช่ครับ แต่ก็ชอบงานพิมพ์มาก แต่ว่าด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างในแง่ที่ว่าสตูดิโอ หรือการเข้าไปใช้ทำงานในแล็ปของภาพพิมพ์ อย่างตอนเรียนจบใหม่ๆ งานแรกที่มาทำงานที่กรุงเทพฯ ตั้งใจเลือกทำงานภาพถ่ายเลยเพราะด้วยฟังก์ชั่นในการทำงานภาพถ่ายมันเอื้อต่อเราในฐานะคนที่มาจากอีกเมืองนึง
ในแง่ของการทำงานส่วนตัวตอนที่เรียนจบมาใหม่ๆ ความสนใจในการทำงานภาพถ่ายตอนนั้นคือเรื่องอะไรครับ
ตอนนั้นเราค่อนข้างโฟกัสตัวเองมาสายวิชวลอาร์ตมากกว่างานสายคอมเมอร์เชียล แต่ว่าตัวเองก็คือชอบงานนิตยสารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คือในช่วงเรียนก็มีโอกาสทำงานในเชิงกิจกรรมหลายอย่างมาก คือทำทั้งละคร ทำทั้งนิตยสารของคณะ ทำทั้งงานนิทรรศการอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับพับบลิคอาร์ต อย่างเช่น งานเชียงใหม่จัดวางสังคม เราก็ไปร่วมกับเขาในฐานะที่เราเป็นเด็กนักศึกษา ในความสนใจตอนนั้นอย่างที่บอกว่ามันจะมีฐานจากงานวิชวลอาร์ตค่อนข้างมากกว่า ตัวภาพที่สนใจถ่ายมันจะเป็นเรื่องของวิถีชีวิตของตัวเองกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นรอบๆ ตัว การอยู่กับสภาพสังคมแบบนึงผ่านมุมมองของคนในวัยนั้น ก็คือเด็กนักศึกษาคนนึงกับสิ่งรอบตัว งานต่างๆ ช่วงแรกจะคล้ายเป็นงานแฟชั่นค่อนข้างสูง แต่ว่าในตัวเทคนิคจะมาจากไอเดียการถ่ายภาพแบบ Snapshot
เรียนจบตอนปี พ.ศ. 2540 พอดีเลยไหมครับ
ปี พ.ศ. 2541
ตอนนั้นเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้มีผลอะไรกับตัวเราในช่วงนั้นใช่ไหม
ก็พอรู้นะ แต่ว่าในวัยนั้น ยังไม่ได้อินกับความคิดในเชิงการเมืองหรือเศรษฐกิจมาก แต่มีผลแน่นอน วิกฤตต้มยำกุ้งมันก็มีผลในเชิงโครงสร้างสังคมแต่เราอาจไม่ได้รู้ลึกรู้ซึ้งเท่ากับคนในรุ่นพ่อรุ่นแม่ในตอนนั้นที่เขาแบบรับภาระอะไรหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันมีผลต่อเราโดยตรงมันมีในลักษณะที่แบบเราซึมซับความคิดความรู้สึกของการแสดงออกของคนในช่วงนั้น
เราเห็นบรรยากาศรอบตัว
ใช่ แล้วก็ส่วนนึงเหมือนกับว่ามันก็มีผลกับการทำงานของเราแบบที่เราไม่รู้ตัว อย่างเช่นเรื่องของการที่เราจะต้องถ่ายภาพเนี่ย แน่นอนเราจะต้องใช้เงิน คือเราทำงานศิลปะทุกแขนงมันก็จะเกี่ยวข้องกับเรื่องตรงนี้โดยตรง ซึ่งภาพถ่ายในช่วงเวลานั้นมันก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมมากนะ ในมุมมองเราก็คือว่ามันมีแล็ปโฟโต้เยอะมาก แล็ปทุกแล็ปสามารถรับงานได้ทุกประเภท หมายความว่าทั้งงานถ่ายรูปแบบฟิล์ม 120 หรือฟิล์ม 135 ตอนนั้นเราเลือกใช้ 135 เราก็เหมือนท้าทายความรู้สึกของตัวเอง เราพยายามที่จะหลุดออกจากกรอบที่มันเป็นกฎเกณฑ์ของภาพถ่ายแล้วใช้เทคนิคในการถ่ายทำเป็นตัวบอกเล่าเรื่องพวกนี้ ยกตัวอย่างเช่นในการใช้ฟิล์มหมดอายุ หรือใช้ฟิล์มที่ตัดแบ่งขาย หรือใช้ฟิล์มที่ราคาถูกสุดๆ เพื่อที่จะเล่นกับกฎเกณฑ์อะไรบางอย่างในเชิงเทคนิค แล้วมันสนุกมาก เหมือนเราไม่ต้องทำตามโจทย์ของการเรียนการสอนแล้ว เราทำตามความเป็นไปได้ของตัวเรา แล้วก็มีถ่ายตอนกลางคืนแบบไม่ใช่แฟลช หรือบางทีถ่ายตอนกลางวันอยากเล่นกับสภาพแสงที่แบบไฮคอนทราสจัดๆ
อยากทราบถึงว่าทำไมถึงเลือกใช้วิธี Snapshot
เราคิดว่าในความเป็นไปได้ที่สุดในตอนนั้นของการทำงาน เราเลือกวิธีนี้มันเอื้อต่อสถานการณ์บางอย่าง เราก็จะเลือกใช้อุปกรณ์กล้องที่พกพาได้ เอาไปในภาคสนามได้ เอาเข้าจริงๆ สุนทรียภาพของงาน Snapshot มันค่อนข้างตอบโจทย์ ในแง่ของตัวภาพที่เราต้องการจะได้รับ ส่วนเราไม่ได้เป็นแบบงานที่อยู่ในสายงานของ Straight Photography ที่ต้องการทักษะทางเทคนิคที่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็เรียนมาเพราะว่าทางอาจารย์ของเรา เขาก็ไปเรียนกับแอนเซล อดัมส์ (Ansel Adams) แต่ว่าในความถนัดของเรามันเป็นเชิงอิมเมจที่เรานึกไว้อยู่แล้ว
อยากรู้ว่าตอนที่เริ่ม Snapshot มีช่างภาพคนไหนไหมที่เรายึดเป็นไอดอลหรือเรฟเฟอร์เรนซ์ในการทำงาน เป็นคนที่เราศึกษาเขามากๆ ทั้งวิธีการถ่ายและการทำงาน
ช่างภาพไทยจะมีเช่น พี่โก๋ นพดล ขาวสำอางค์ พี่เหน่ง วชิรา วิชัยสุทธิกุล พี่โก๋กับพี่เหน่งก็จะเห็นงานเขาตามนิตยสาร เราจะค่อนข้างจำติดตาในช่วงที่เราเรียน แล้วก็มีริชาร์ด อเวดอน (Richard Avedon) ที่ชอบมาก ตอนเรียนก็ทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับเขา หลังจากนั้นก็จะมีเป็นสายวิชวลอาร์ต เช่น เจฟฟ์ วอลล์ (Jeff Wall), ฟิลิป ลอร์คา ดิคอเซีย (Philip-Lorca DiCorcia) อีกรุ่นนึงก็เป็นแนน โกดิน (Nan Goldin), โวล์ฟกัง ทิลล์มันส์ (Wolfgang Tillmans) และก็จะมีช่างภาพผู้หญิงญี่ปุ่นคนนึงที่ชอบมาก ซากิโกะ โนมุระ (Sakiko Nomura) เขาจะชอบถ่ายรูปนู้ดผู้ชาย งานมันมาก สวยมาก คือจริงๆ แล้วดูงานภาพเยอะและมันก็ไม่ได้เป็นแบบภาพของศิลปินคนใดคนนึงเฉพาะเท่านั้นบางทีชอบรูปนี้ของคนนี้และก็มีช่างภาพข่าวที่เขาแบบปรับงานของตัวเองไปเป็นในเชิงสารคดี เขาชื่อ วิล แมคไบรด์ (Will Mcbride) บางคนก็จะเป็นช่างภาพสายถ่ายงานโฮโมอิโรติก ก็จะชอบมาก คือดูงานค่อนข้างหลากหลายประเภท
ทำไมถึงนำการทำวิจัยมาทำงานร่วมกับวิชวลอาร์ต
พอการทำงานมันอยู่ในบริบทของการทำงานศิลปะ ตัวภาพเหล่านั้นพอมันผ่านช่วงเวลาไปแล้ว มันมีความคิดอันนึงเพิ่มว่าการถ่ายแบบ Snapshot มันรองรับอะไร มันทำงานร่วมกับอะไรได้บ้าง คือในแง่นึงวิธีการของมันนอกจากการทำให้เกิดความสะดวกของการถ่ายภาพในเชิงสนามที่มันเกิดขึ้นผ่านอุปกรณ์เหล่านี้แล้ว อีกส่วนนึงเราพบว่าฟังก์ชั่นส่วนใหญ่ที่ภาพแบบนี้ถูกเอาไปใช้ก็คือการใช้ในแง่ของการวิจัย และพอเราทำงานที่มันไปเกี่ยวข้องกับการทำคอมเมอร์เชียลเกี่ยวกับงานสิ่งพิมพ์มากขึ้น มันควรที่จะมีช่วงเวลาให้ตัวเองได้โฟกัสกับสิ่งที่มันเป็นในลักษณะของโครงการระยะยาวบ้าง เพราะการทำงานสิ่งพิมพ์มันจะเป็นระยะสั้นใช่ไหมครับ ทำงานแบบว่าสี่ห้าวัน ออกไปถ่ายรูปหนึ่งวัน ทำโพสอีกสองวันก็เสร็จมันค่อนข้างรวดเร็วในระดับนึง แต่ว่าประเด็นอย่างที่บอกเราสนใจในด้านวิชวลอาร์ตมากกว่า และการทำงานระยะยาวมันทำให้สามารถที่จะมองเห็นภาพรวมในสถานการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกอย่างคิดว่างานวิจัยมันส่งเสริมทักษะในแง่ของภาพถ่ายกับข้อมูล ในการทำภาพถ่ายในเชิงข้อเท็จจริงที่มันเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงมากขึ้น อีกส่วนนึงก็คือมันทำให้เราสามารถเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความทรงจำและประวัติศาสตร์บางอย่างได้ด้วย
ซึ่งงานส่วนใหญ่ก็จะผูกพันกับเรื่องความทรงจำและประสบการณ์
ใช่ๆ ในตัวภาพถ่ายมันเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับความทรงจำอยู่แล้วเป็นเรื่องของการบันทึก แล้วมันจะมีประเด็นเรื่องของความเป็นวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะ เมื่อเวลาผ่านไป มันไม่ได้เป็นในลักษณะที่เป็นส่วนนึงของประวัติศาสตร์อะไรขนาดนั้น แต่ว่ามันอาจจะอยู่ในลักษณะของบันทึกส่วนบุคคล
ทำไมถึงสนใจความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะ
มันเป็นภาวะร่วมสมัยที่คิดว่าคนทุกคนมันมีภาวะอันนี้อยู่ เพราะว่าในขณะที่เราอยู่ในสังคมนี้ เราสามารถแสดงออกถึงความสนใจส่วนตัวลงในพื้นที่สาธารณะ แล้วเรามีมุมมองอันนึงต่อเรื่องความเป็นสาธารณะกับความเป็นส่วนตัว ยิ่งในช่วงหลังๆ พอมีนวัตกรรมอย่างโซเชียลมีเดีย มันเชื่อมโยงสองสิ่งนี้เข้ามาอยู่ในลักษณะที่ทับซ้อนกันระหว่างความเป็นส่วนตัวกับความเป็นสาธารณะ
ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการมาถึงของโซเชียลมีเดียก็มองเห็นประเด็นนี้มาก่อนหน้านี้อยู่แล้วใช่ไหมครับ
จริงๆ ภาพถ่ายมันเป็นผลผลิตของนวัตกรรม คือมันเป็นงานศิลปะแขนงนึงที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาในเชิงของเทคโนโลยี ในเชิงของวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับความเป็นสาธารณะโดยตรง จริงๆ งานภาพถ่ายมันเริ่มมาจากแนวคิดในเชิงของวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำเรามองว่ามันเป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจความเป็นมนุษย์ของโลกวิทยาศาสตร์
อยากทราบถึงที่มาของผลงานชุด POEM ตั้งแต่เริ่มต้นครับ
จริงๆ แล้วงาน POEM มันมาจากการเดินทางครั้งนึงในปีค.ศ. 2010 ตอนนั้นไปที่อินเดีย แล้วก็ถ่ายรูปที่อินเดียมาเยอะมาก อยู่อินเดียประมาณหนึ่งเดือนไปเริ่มที่อินเดียใต้ที่มุมไบแล้วก็ขึ้นมาที่แคชเมียร์แล้วก็ไปต่อที่ลาดักห์ แล้วก็มาที่นิวเดลี ตอนนั้นไปคนเดียวแล้วก็ตระเวนไปชายแดนแถบหิมาลัยโดยที่เราไม่รู้ว่าตรงนั้นเป็นชายแดนที่มีอันตรายมากเป็นพื้นที่ขัดแย้งระหว่างปากีสถานกับอินเดีย แล้วตรงนั้นมันทำให้เราได้ภาพชุดใหญ่มาชุดนึงโดยไม่ได้คิดว่าเราจะต้องเอาไปทำอะไรต่อ แล้วก็พัฒนางานชุดนี้นานมากประมาณสองปีสามปี แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรต่อกับงานชุดนั้นจนมีการแสดงงานแล้วก็ทำออกมาเป็นนิทรรศการชุดนึง หลังจากนั้นมีไอเดียอันนึง อยากพูดเรื่องงานภาพถ่ายกับการเดินทาง แล้วตรงนี้มันก็ยังไม่ได้เคลียร์มาก
ในวอลุ่มแรกๆ ของงานชุดนี้ มันมีลักษณะของความสนใจในเชิงของการเล่าเรื่องผ่านภาพแค่นั้นเลย ในช่วงแรก คือช่วงหลังจากปีค.ศ. 2010 เป็นต้นมา เราทำงานด้านคอมเมอร์เชียลน้อยลงคือพยายามโฟกัสกับตัวเองให้ทำงานด้านวิชวลอาร์ตมากขึ้น แต่ส่วนหนึ่งมันมีแมททีเรียลอย่างหนึ่งจากการที่เราทำงานคอมเมอร์เชียล อย่างเช่น การที่เราไปทำงานตามโลเคชั่นต่างๆ คือนอกจากการที่เราได้ถ่ายงานแฟชั่นแล้ว เราก็ถ่ายรูปนู่นนั่นนี่เก็บไว้ด้วย เราก็ไม่ได้ใช้อะไร แล้วช่วงนั้นมันเป็นยุคเฟื่องฟูของวงการนิตยสาร ก่อนที่มันจะลงพรึ่บตอนมีโซเชียลมีเดีย มันคือช่วงพีคมากๆ ที่วงการนิตยสารสามารถทำโปรดักชันภาพด้วยการให้งานช่างภาพกับทีมงานไปเมืองนอกได้ทุกเดือน คิดดูว่ามันเฟื่องฟูขนาดไหน เศรษฐกิจมันดีมาก ช่วงปีค.ศ. 2005-2010 คือพีคสุดๆ ตอนนั้นเราได้มีโอกาสเดินทางไปที่นู่นที่นี่ เรามีโอกาสไปบันทึกอะไรต่างๆ โดยเราจะมีแมททีเรียลอยู่ก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วอีกก้อนนึงจากอินเดีย พอมีแมททีเรียลพวกนี้เราก็อยากที่จะเอามารวบรวมให้มันเป็นระเบียบนิดนึง
พอหลังจากปีค.ศ. 2010 เป็นต้นมา เราก็เริ่มถ่ายงานชุดนี้ แต่ว่าเล่มแรกด้วยความสนใจอะไรบางอย่างต่อเรื่องของภาพถ่ายแฟชั่นอยู่แล้วด้วย เราก็เอาไอเดียที่เราทำงานกับแฟชั่นดีไซเนอร์ในตอนนั้นมาผนวกกับไอเดียของการเดินทางไปด้วย ซึ่งเล่มแรกจะเป็นเหมือนแคตตาล็อกของแบรนด์แฟชั่น แล้วชอบงานเขามากเป็นเสื้อผ้าชุดว่ายน้ำ ส่วนนึงก็คือคลิกกันมากกับตัวแฟชั่นดีไซเนอร์ ซึ่งเขาจะมีไอเดียไปในทางวิชวลอาร์ตมากกว่าไปทางแฟชั่นก็ออกมาเป็นงานชุดชิ้นแรกเป็นแคตตาล็อกชุดว่ายน้ำเลย ความตั้งใจของเขาคือเอาไปวางไว้ในช็อป ซึ่งจะเป็นแคตตาล็อกไว้ให้ลูกค้ามาเปิดดู
หลังจากนั้นเราก็เริ่มเลย คือเอาแมททีเรียลที่มีทั้งหมดมาแบ่งเป็นเซตเป็นเล่มๆ คือก็จะสังเกตได้ว่าเล่ม 1,4,5,6 มันก็จะมาจากงานที่เราเดินทางไปทำงาน แต่ว่ามันก็จะมีบางเล่มพอเรามีไอเดียนี้เราก็ไปเสนอนักสะสมคนนึงที่เขาช่วยสนับสนุนการทำงาน ก็ไปเสนอว่าตอนนี้เราทำงานแบบนี้อยู่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเดินทางผสมกับภาพถ่ายแฟชั่น เราเรียกมันว่าเป็น Environmental Portrait ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วมันคือการถ่ายภาพในลักษณะของแฟชั่นเนี่ยแหละ แต่เราเน้นที่ตัวบุคคลก่อน ซึ่งในลำดับถัดมาเราเน้นที่เสื้อผ้าที่มันโดดเด่น เพราะฉะนั้นในตัวไอเดียของงาน POEM นั้น มันจะมีทั้งเรื่องของความคิดในเรื่องของการถ่ายภาพแบบพอร์ตเทรตอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มี Urban Landscape มาเกี่ยวข้องแล้วก็วิธีการของมันคล้ายกับงานแฟชั่น และมีลักษณะของการแสดงออก ของ Staged Photography คือมันอาจจะมีอะไรหลายๆ อย่างอยู่ในนั้นแต่คร่าวๆ มีประมาณนี้ ตัวเทคนิคอย่างที่บอกมันใช้การ Snapshot อันนี้คือไอเดียและหลังจากนั้นก็เราทำงานชุดนี้มาเรื่อยๆ คือไปที่ไหนเราก็จะรู้สึกประทับใจมีความรู้สึกร่วมกับสถานที่และวัฒนธรรมต่างๆ ที่ผ่านการเดินทางของเรา หลังจากนั้นพอมันไปอยู่ในบริบทของวิชวลอาร์ตมากขึ้น ก็จะมีคนที่พยายามทำความเข้าใจงานชุดนี้ในบริบทของวิชวลอาร์ต ก็เลยเกิดการอธิบายงานชุดนี้ในรูปแบบของที่มา แล้วเราก็ทำงานกับคิวเรเตอร์คนนึงแล้วเขาก็พูดถึงว่างานชุดนี้มีลักษณะของการเล่าเรื่องแบบกลอนนิราศ หลังจากนั้นมันก็ถูกพัฒนามาในทางนี้ ตั้งแต่เล่ม 8 ‘In Love – In Babylon
สังเกตว่าใน POEM มันจะมีตัวละครอยู่ที่เราจะนำเข้ามาตลอดอยู่ที่ว่าจะเป็นใครและในช่วงเวลาไหน
ใช่ๆ คือมันค่อนข้างสนุกมากขึ้นด้วยครับพอทำงานชุดนี้ มันเหมือนทำให้เราพักจากการทำงานอื่นๆ นอกจากการที่เราจะได้มานั่งดูรูปหรือเรื่องราวอะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมาในอดีตของเรา เหมือนมันมีประเด็นร่วมเข้ามาที่ทำให้นึกถึงใครหลายๆ คนแล้วก็มันทำให้นึกถึงภาพเก่าๆ หลายๆ ภาพ หมายถึงในแง่ของเรฟเฟอร์เรนซ์ด้วย เราเป็นช่างภาพเราก็ต้องหมกหมุ่นกับภาพถ่าย และก็พยายามขุดลึกไปว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ภาพถ่ายบ้าง ส่วนนึงถ้าเจอรูปที่ชอบมากแล้วจะเก็บไว้ หรือในบางทีมันก็ถูกดึงเอามาสร้างภาพอีกภาพนึงเกิดเป็นภาพใหม่
ฟังแล้วเหมือนเราเป็น AI (หัวเราะ)
(หัวเราะ) เออ เป็น AI คือมันก็จะเป็นลักษณะตรงนั้น
นอกจากภาพถ่าย มีเรฟเฟอร์เรนซ์ที่มาจากอย่างอื่นบ้างไหมครับ
มีเป็นเพลงครับและมีเป็นหนังด้วย คือบางทีก็ฟังเพลง เวลาเดินทางเราก็นึกถึงเพลงบางเพลงเข้ามาในหัวเรา เพลงในแง่ที่มีเนื้อเพลงด้วยไม่ใช่เป็นแค่ทำนอง เพลงมันก็ผุดขึ้นมาในหัวตอนถ่ายรูป หรือหนังมันจะมาในช่วงเวลาว่าง กิจกรรมยามว่างที่เราไม่ได้ทำอะไร นั่งดูหนัง ดูเรื่องนี้แล้วเออว่ะ งานชิ้นนี้ตรงนี้น่าจะเล่าเรื่องมีกิมมิคอะไรนิดนึง มีการหักมุมอะไรนิดนึง ในแง่การเล่าเรื่อง
มีบทให้มัน
เอ่อ มีบทนิดๆ แต่มันไม่ได้ถึงขั้นคอมพลีทที่เป็นหนัง อย่างเช่นเราชอบ พวกหนังฟิล์มนัวร์ คือส่วนตัวจะชอบหนังที่มันมีลักษณะลึกลับอะไรนิดๆ แล้วก็แบบเล่าผ่านตัวละครค่อนข้างลึกซึ้งมีเลเยอร์ของความทรงจำอยู่เยอะๆ จะชอบดูแนวนั้น ตอนทำงานแรกชื่อ Neo Romantic ทำที่ About Studio ช่วงนั้นหนังที่ชอบกันมากกับเพื่อนคือหนังของหว่องกาไว (Wong Kar Wai) อย่าง Chungking Express (1994), Day of Being Wild (1990), Happy Together (1997) อันนี้คือสุดๆ เลยในใจ มันก็จะซีนที่เหลียงเฉาเหว่ย (Tony Leung) ไปถึงน้ำตกอีกวาซูคนเดียวแล้วไปยืนอยู่ตรงนั้น โหซีนนี้คือสุด
มันก็เหมือนกับในทุกเจนเนอเรชันมันจะมีอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นในลักษณะของผลผลิตทางวัฒนธรรม (Cultural Production) มันจะมีผลผลิตที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของเราในแต่ละเจนเนอเรชัน
ใช่ครับ น่าจะมีผลถึงในระดับจิตวิญญาณ
ซึ่งจริงๆ เราว่ามันแบบค่อนข้างมีผลกับการเรียนการสอนศิลปะด้วย
เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแค่งานของเขา เราเห็นความคิดเขาด้วย มันก็เลยลงลึกไปถึงในระดับจิตวิญญาณได้
ใช่ แล้วอย่างงานโฟโต้ คือความเงียบของงานโฟโต้ที่มันปรากฏอยู่ในแง่ของเรฟเฟอร์เรนซ์ที่จะหาได้มันค่อนข้างสำคัญมากนะสำหรับเราในแง่ที่เราทำงานภาพถ่าย คือยิ่งแบบสงสัยว่าภาพนี้ถ่ายมาได้ไงวะ มันทำให้เราอยากรู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังภาพนั้น หรือบางภาพเราไม่อยากรู้เบื้องหลัง เราเห็นแค่นั้นแล้วพอใจก็มี
ถามเกี่ยวกับตัวนิทรรศการบ้าง การนำหนังสือ POEM สามเล่ม 19,20,21 มาผูกโยงกันจัดแสดงมันมีความเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างไรบ้างในสามเล่มนี้
คือสามเล่มนี้มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับตัวนิทรรศการหรืออาร์ตสเปซแต่ว่ามันเป็นความพยายามที่จะทำงานต่อเนื่อง แล้วก็ตรงนี้อย่างที่บอกว่ามันมีความปรารถนาอะไรบางอย่างที่จะทำให้ภาพถ่ายที่เราสนใจในฐานะศิลปินไปถึงจุดที่ครบถ้วนและก็สมบูรณ์ ซึ่งตรงนี้มันเป็นจุดที่เราควรจะไปถึงตรงนั้น แต่ความเชื่อมโยงมันไม่มีเฉพาะเจาะจง เล่มที่ 19 มันเป็นเรื่องของสวนลุมพินี เราสนใจสวนลุมเพราะมันเป็นพื้นที่ระหว่างความสนใจส่วนตัวกับความเป็นสาธารณะค่อนข้างสูง กับอีกประเด็นนึงมันเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่อาร์ตสเปซ แล้วตรงนี้เราคิดว่ามันมีความน่าสนใจตรงที่ยิ่งเราเข้าไปค้นหาข้อมูลของพื้นที่สวนลุม เราก็ยิ่งได้เลเยอร์ในเชิงประวัติศาสตร์ของมันมากยิ่งขึ้น งานที่สวนลุมมันจะลักษณะการเข้าไปทำวิจัยอยู่ด้วย นอกจากตัวภาพที่มีความเป็น POEM ที่มันเป็นในแบบของมัน แล้วก็มีความพยายามที่จะปลดปล่อยอะไรบางอย่างของตัวเองออกมาด้วย คือถ้าเทียบกับเล่มที่ 20 ที่ระนอง คือที่ระนองเป็นทริปสั้นๆ แล้วก็เราเข้าไปในพื้นที่ต่างๆ ที่เป็นแลนด์มาร์คและมีการจัดรูปแบบการเดินทางเฉพาะ ในแง่ที่เป็นทริปสั้นๆ เหมือนการเดินทางไปกับเพื่อน ตรงนี้มันก็จะเกี่ยวข้องต่อการเดินทางโดยตรงกับเรื่องการท่องเที่ยว ในเล่มที่ 21 มันก็มีลักษณะอีกแบบนึงที่ต่างไปจากสองเล่มนี้เลย ก็คือเป็นเรื่องของพื้นที่ส่วนตัวไปเลย แต่ในขณะเดียวกันมันไม่ใช่แค่การนำเสนอผ่านเรื่องของประเด็นภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ส่วนตัวเท่านั้น มันเกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจำวันมากกว่ามันมีการเข้าและก็ออกจากในพื้นที่ ซึ่งมันค่อนข้างต่างจากที่ระนองและสวนลุม
อย่างตัวเล่มสวนลุมพินี ที่ทราบมาก็คือเกี่ยวกับการนัดเจอกันของกลุ่มเกย์ ซึ่งเป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งที่เอามาใส่ในงาน ซึ่งในแง่นึงมันก็ชัดในความสัมพันธ์ของพื้นที่ ที่มีคนไปปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่โดยการใช้กิจกรรมส่วนตัวในพื้นที่สาธารณะ
คือเรามองว่าอย่างประเด็นเรื่องสวนลุม มันมีเลเยอร์กิจกรรมทางประวัติศาสตร์เยอะ ในช่วงแรกเลยตอนรัชกาลที่ 6 พยายามทำให้เป็นพื้นที่จัดแสดงงานเอ็กซ์โปหรืองานแฟร์ที่มันเกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมของสยามในเวลานั้น ตอนนั้นมีสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นมาสร้างฐานทัพที่สวนลุมหลังจากนั้นช่วงหลังสงครามก็ได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่นี้ให้เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แล้วพอมาช่วง ‘80s ก็มีการจ้างสถาปนิกแลนด์สเคปมาปรับพื้นที่ใหม่ เรามองว่าอย่างกิจกรรมที่กลุ่มเกย์ที่เข้าไปใช้พื้นที่นี้ มันเป็นวัฒนธรรมแบบนึงที่เรามองว่ามันเกี่ยวข้องกับความเป็นไปรอบนอกของสวนลุมด้วย เพราะฉะนั้นงานเล่มที่ 19 นี้ มันจึงกลายเป็นเรื่องที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอดีตที่เกี่ยวข้องกับสวนลุม เราก็จะเข้าไปถ่าย มันจะไม่ใช่ระนองที่วางแผนการเดินทางไปแล้วก็กลับมา
เพราะฉะนั้นความหมายของการเดินทางในแต่ละเล่มมันต่างกันมากเลย
ใช่ฮะๆ ทีนี้พอได้แมททีเรียลในตัวหนังสือแล้ว เรามานึกถึงเรื่องของสเปซ เรื่องของพื้นที่แกลเลอรี มันต่างจากหนังสือ แม้มันเป็นพื้นที่ที่เราสามารถแสดงออกอะไรได้คล้ายกัน แต่ว่าพื้นที่ของอาร์ตสเปซในแกลเลอรีมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องฟังก์ชันโครงสร้างเวลาของพื้นที่นี้ด้วย ระยะเวลาของการแสดงงานในนิทรรศการอันนี้มันจะเกี่ยวข้องกันกับตัวงานชิ้นนี้มาก หมายถึงการวางคอนเซ็ปต์ ก็คือชื่องาน “Thru The Straits of Demos” ซึ่งสิ่งที่เราตั้งใจที่จะพูดถึงแน่ๆ คือช่องทางและทิศทางของการเดิน การสร้างความเคลื่อนไหวของพื้นที่ แล้วมันก็เป็นช้อยส์ที่เราเลือกให้คนดูเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่นี้ในแบบไหนได้บ้าง เฉพาะนั้นเราก็จะเลือกพื้นที่ติดตั้งภาพ ทั้งด้านนอก ในห้องสมุดและในตัวแกลเลอรี เพื่อที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวภายในพื้นที่ เพราะฉะนั้นการเดินทางในแง่ของการเข้ามาดูงานในนิทรรศการนี้ มันมีเส้นทางกำกับอยู่พอประมาณ แต่ในที่สุดแล้วคนดูจะเห็นได้ว่าเขาก็จะเลือกเส้นทางไหนเข้าไปดูในแต่ละพื้นที่ ส่วนตัวภาพที่เลือกมาติดตั้งก็คือดึงเอามาจาก POEM ทั้งสามเล่ม ตัวภาพพอมันไปอยู่ในบริบทของอาร์ตสเปซ เราก็จะเล่ามันอีกแบบนึงโดยที่เอาเข้าจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในแง่ของการเล่าเรื่อง ไม่ได้มี narrative อะไรร่วมกันเลย แต่ว่าในตัวภาพบางคนก็อาจจะสามารถ (ยิ้ม) เชื่อมโยงกันได้ แต่ในความตั้งใจของเราต่อซีเลคชันนี้ คือการนำเสนอทั้งเรื่องการเฟรมมิ่ง การเม้าติ้ง การพรินต์ติ้ง ใช้วัสดุอะไรที่มันสัมพันธ์กับภาพนั้นทีละภาพ แล้วจะมีรูปแบบเป็นที่เราถนัดคือการทำเลย์เอาท์ภาพถ่าย
เหมือนการทำแมกกาซีน
เอ่อใช่ เพราะว่ามันมาจากพื้นที่ทำงานด้านนี้มา
ความสนุกคือได้เห็นภาพถ่ายมันตั้งอยู่แยกกันแล้วก็แต่ละตัวก็มีเรื่องเล่าของตัวเอง แล้วก็สนุกตรงที่บอกว่าวัสดุต่างๆ สนองต่อภาพๆ นั้นโดยเฉพาะ แล้วมันก็เห็นลำดับชั้นของวัสดุ (หัวเราะ) ใช่ไหมครับ
ใช่ๆ ไอเดียตรงนี้มันมาจากช่วงล็อคดาวน์โควิด สถานการณ์ของภาพถ่ายมันเปลี่ยนไป แล้วอยากอัปเดตว่าแล็ปต่างๆ เขาทำงานอย่างไร มีวัสดุแบบไหนให้ทำบ้าง ก็รู้มาว่าวงการภาพถ่ายทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ทั้งราคาฟิล์ม ทั้งราคากระดาษอัดรูป หรือวิธีการต่างๆ ของภาพถ่ายมันมีอะไรบ้าง แล้วก็พอเข้าไปทำงานกับแล็ป เราก็จะเห็นเลยว่าตรงนี้เขาเอาออกไปแล้วไม่ทำแล้ว เทคนิคนี้ยังมีอยู่ เทคนิคนี้กับงานช่างที่ทำวินเทจพรินต์ยังมีอยู่ พวกงานอัดแบบวินเทจซิลเวอร์พรินต์ก็ยังมีอยู่ดีด้วย แล้วก็ตื่นเต้นกับวัสดุบางอย่างว่าวัสดุแบบนี้ๆ ยังมีอยู่ วัสดุนี้มาจากไหน อยากรู้ และก็จะมีเรื่องเทคนิคการเม้าติ้ง วัสดุการเม้าติ้งที่น่าสนใจ ในบางภาพเราคิดว่ามันไปอยู่ในวิธีการแบบนี้แล้วเวิร์ค กับแล็ปโปรที่เป็นควอลิตี้แล็ปที่เขาพรินต์ผลิตเชิงอุตสาหกรรม พรินต์ไปเพื่อทำดิสเพลย์ในร้านค้า จริงๆ มีเทคนิคนึงที่ชอบมากเมื่อก่อน แต่ว่ามันหายไปแล้ว ซึ่งคือการใช้เลเซอร์ฉายแสงลงบนกระดาษไวแสง จะเรียกเทคนิคนี้ว่าแลมด้าพรินต์ (Lambda Print) ซึ่งเทคนิคนี้มันสร้างคุณภาพอันนึงของงานภาพถ่าย ที่คิดว่าตอนนั้นผมทึ่งกับมันมากแล้วสุดท้ายมันก็ไม่เวิร์คเพราะว่าการเก็บรักษาภาพถ่ายมันยากมากนะ ถ้าจะเก็บให้มันสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งนึงที่สนใจ เพราะการจัดแสดงงานภาพถ่ายในอาร์ตสเปซ ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่แค่การเอาภาพมาทำให้คนดูอย่างเดียว มันคือจะทำอย่างไรให้คนดูเข้าถึงความคิดของการถ่ายภาพในแง่ทั้งเรื่องการเก็บและเรื่องการสร้างภาพเหล่านั้นด้วย
พอจะยกตัวอย่างภาพบางภาพที่มีการเฟรมมิ่งหรือพรินต์ติ้งที่โดดเด่นในงานนี้ได้ไหมครับ
มีอยู่ชุดนึงที่เป็นสารตั้งต้น เป็นตัวต้นแบบของงานนี้ คือทำขึ้นมาหลังจากที่ได้คุยกับแกลเลอรี ก็อยากให้เขาเห็นภาพว่างานมันจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร มันคือชิ้นที่มีลักษณะเหมือนเป็นตู้ ซึ่งตัวตู้แบบมาจากกล้องถ่ายรูปในช่วงกลางศตวรรษที่สิบเก้า ซึ่งมันจะมีกล้องถ่ายรูปอยู่รุ่นนึงที่เป็นบอดี้ไม้และก็มีเลนส์ บอดี้ไม้นี้เราก็ไปเสิร์ชดูในอินเทอร์เน็ตว่ามันสร้างอย่างไร ข้างในมันเป็นอะไรเขามีวิธีการอย่างไร แล้วก็ตัวบอดี้นี้ก็เป็นต้นแบบของตัวเฟรมมิ่งอันนี้ซึ่งมันจะใช้ไม้มะฮอกกานีกับวิธีการเข้าไม้แบบไม่ได้ใช้ตะปู คือวิธีเดียวที่ใช้กับเฟอร์นิเจอร์โบราณที่ใช้หางเหยี่ยวประกบไม้ แล้วก็ปรับฟังก์ชันของตัวกล่องนี้ให้มันมีลักษณะสามารถเปิดกระจกขึ้นมาได้เหมือนกับที่กล้องถ่ายรูปสามารถดึงเพลทด้านหลังขึ้นมาได้ ใช้แมททีเรียลที่เป็นกระจกมิวเซียมเพื่อลดการสะท้อนกับคนดู แล้ววิธีการวางรูปจะเล่นกับฟังก์ชันของกล้องโบราณ ก็คือลองเอารูปที่ไปเทสพรินต์มาลองวางดูสิจะเป็นอย่างไรแล้วตอนนั้นรูปยังไม่ได้ทับ มันยังโค้งอยู่ปรากฏว่ามันเวิร์ค เวิร์คในแง่ที่ว่าบางทีมันก็แปลกนะที่ช่างภาพโปรบางคนมองว่าความสมบูรณ์แบบของภาพถ่ายมันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ มีคำถามขึ้นมาว่าทำไมจะเอาภาพถ่ายจากโลคอลแล็ป (local Lab) มาจัดแสดงไม่ได้
ฟังดูแล้วเป็นคำถามเดิมเหมือนตอนที่เรียนจบเลย (หัวเราะ)
(หัวเราะ) ใช่ๆ แล้วเรามองว่าวิธีการความคิดแบบ Straight Photography ซึ่งผมไม่ได้มีปัญหากับตรงนั้น เขาก็มีพื้นที่ที่ยังเป็นมาตรฐานแบบของเขาอยู่ แต่จะมองว่าเราสามารถนำเสนอความคิดของภาพถ่ายในอาร์ตสเปซได้แบบไหนบ้าง นอกเหนือจากวิธีการเล่าเรื่องผ่านภาพเท่านั้น เราสามารถเล่าเรื่องแบบอื่นได้ด้วยได้ไหม