brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Jun 2025

ตั้ง - ตะวันวาด วนวิทย์
Let’s Get Confused Together
เขียน : มายา เซเยอร์ส
ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
11 Nov 2021

ก่อนที่เราจะรู้จักตั้ง – ตะวันวาด วนวิทย์ในฐานะผู้กำกับภาพ และช่างภาพสตรีท เขาเดบิวต์ในใจเราด้วยเพลง ‘ลิ้นติดไฟ’ ในฐานะแรปเปอร์ที่ชื่อว่า TangBadVoice และเมื่อเรารู้ว่าอาชีพจริงๆ ที่เขาใช้หาเลี้ยงตัวเองนั้นไม่ใช่แรปเปอร์ แต่เป็นช่างผู้กำกับภาพ เราก็สนใจเขาขึ้นมาอีกนิด และเมื่อเขาเดบิวต์จัดงานนิทรรศการ It’s So Bright and Confusing ที่ Hub of Photography ในฐานะช่างภาพนิ่ง เราก็ไม่รีรอเลยที่จะเรียกเข้ามาเพื่อฟังความคิดอันสับสนงุนงงในหัวของเขาที่ถ่ายทอดออกมาในนิทรรศการที่ดูจะไม่มีวันทำความเข้าใจได้ของเขาครั้งนี้

‘นิทรรศการ’ คือพื้นที่อันทรงคุณค่าที่ไม่กล้าจะเข้าไปแตะ

“ไม่เคยคิดเลยครับว่าชีวิตนี้จะจัดงานนิทรรศการภาพถ่ายของตัวเอง” ตั้งเปิดบทสนทนากับเราเมื่อเราถามถึงที่มาของนิทรรศการภาพถ่ายครั้งแรกในชีวิตของเขา “ผมเชื่อใน… ยังไงดีนะ” เขานิ่งคิดไปสักพักราวกับพยายามคุยกับเสียงอันอื้ออึงในหัวตัวเอง “มันเกี่ยวกับความมั่นใจในตัวเองน่ะ ผมอาจจะติดภาพมามั้งว่างานนิทรรศการเป็นงานที่ทรงคุณค่าในทางหนึ่ง เพราะมันมีปัจจัยเรื่องของการเดินทางมาดู พอเป็นแบบนั้น มันเท่ากับว่าเราต้อง ‘ฝ่าฟัน’ เพื่อมาชมงานนี้ เหมือนกับไปดูคอนเสิร์ตน่ะ มันต้องทรงคุณค่าในระดับหนึ่ง ทีนี้ พอย้อนกลับมาดูตัวเอง ผมไม่เคยรู้สึกว่างานของผมเป็นงานที่ทรงคุณค่าเลย เพราะทุกอย่างที่ผมทำมันเกิดจากการเล่นเว้ย” มาถึงตรงนี้ ตาเขาเป็นประกาย และเขาออกอาการลิงโลดอย่างเห็นได้ชัด “กูเล่นเท่านั้น กูเล่นอย่างเดียวโว้ย ไม่มีคอนเซ็ปต์อะไรทั้งสิ้น กูไม่รู้อะไรสักอย่าง จะให้พาเดินในงานว่าอะไรคือไอเดียหลัก อะไรคือคอนเซ็ปต์ อะไรคือแรงบันดาลใจ แต่ละภาพมาจากไหน นี่คือพูดไม่ได้เลยสักอย่าง กูไม่รู้อะไรเลย เพราะกูเล่นเท่านั้น” 

ขึ้นต้นแบบนี้ก็ไม่แปลกใจแล้ว ว่าทำไมงานนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของเขา จึงออกมาในรูปแบบที่ทั้งเจิดจ้าและสับสนเช่นนั้น เอาล่ะ… ถ้าไม่เชื่อในการจัดนิทรรศการแบบ traditional จ๋าๆ แล้ว ตั้งเชื่อในงานนิทรรศการแบบไหนบ้าง “ผมอยากไปงานนิทรรศการของพี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล – ผู้กำกับชาวไทยมือรางวัลระดับนานาชาติ) ที่ไต้หวันมาก ผมไม่ได้ไปเองนะตอนนั้น เพราะไป outing กับที่ทำงานอยู่ แต่แฟนผมไปและถ่ายรูปมาให้ดู มันน่าไปมากๆ เพราะเป็นงานนิทรรศการที่แสดงตัวตนของพี่เจ้ยออกมาได้ดีมากๆ เป็นพื้นที่ที่พี่เจ้ยทำเรื่องค่อนข้างส่วนตัวของเขาออกมา มีทั้งเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว เรื่องช่วงชีวิตแต่ละช่วงของเขา และเรื่องภาวะต่างๆ ในจิตใจของเขาด้วย และเท่าที่เห็นจากในรูปถ่ายที่แฟนส่งมา นี่คือ visual มันตู้มต้ามบ้าบอมากๆ เลยคิดว่าอยากทำอะไรแบบนั้นมากกว่าน่ะครับ” 

หลังจากที่อะดรีนาลินในตัวเขาหลั่งออกมาแล้ว ตั้งก็พรั่งพรูออกมายาวเหยียดว่าชีวิตนี้เขาไม่เคยมีภาพงานนิทรรศการของตัวเองในหัว ไม่เคยคิดจะจัดงานนิทรรศการใดๆ เพราะเขาไม่รู้สึก ‘ปลอดภัย’ มากพอกับสิ่งเหล่านี้ “ส่วนตัวผมรู้สึกว่างานนิทรรศการไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยของผมเองเลยครับ มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวและอันตรายมากๆ ในความคิดผม” และทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ เราถาม เขานิ่งหาคำตอบไปสักพัก “เพราะผมไม่ได้อยากจะจัดนิทรรศการเพื่อตอบสนองอะไรสักอย่าง ผมไม่เคยมีจุดหมายนั้นอยู่ในหัว และผมก็ไม่ชอบเป็น…” เขาหยุดพูด ราวกับจมอยู่ในภาพความขัดแย้งบางประการในหัวตัวเอง “คือ… พอจัดงานนิทรรศการปุ๊บ มันก็จะมีการแสดงความเห็น การวิพากษ์วิจารณ์ และการถกเถียงเกี่ยวกับนิทรรศการนั้นๆ เกิดขึ้น มันเลี่ยงไม่ได้ ผมไม่ชอบภาวะตรงนั้น เพราะผมแค่ชอบถ่ายรูปเฉยๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แบบไม่มีอะไรทั้งสิ้นน่ะครับ เพราะผมอุตส่าห์มาถึงจุดที่ไม่คาดหวังอะไรแล้วกับการถ่ายรูป ผมมาถึงจุดที่ ผมไม่ได้ถ่ายภาพหนึ่งอาทิตย์ก็ไม่เป็นไรหรอก แล้ววันที่แปด ถ้าอยากกลับมาถ่าย ก็โอเคแล้ว การถ่ายภาพเป็นแค่เครื่องมือที่จะสนับสนุนสภาวะในใจของผมตรงนี้ ผมก็แค่บันทึกสภาวะต่างๆ รอบตัวผมไว้ และก็เก็บดองไว้ในคอมฯ ในคลาวด์ ไม่ได้คิดจะทำอะไรกับมันตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ” 

จังหวะก้าวออกจาก ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ของตัวเอง

ฟังๆ ดูแล้วการตัดสินใจแสดงงานครั้งแรกของตั้งนี้ ต้องอาศัยการตัดสินใจอะไรบางอย่างที่เด็ดขาดมากแน่ๆ เราออกความเห็น และสิ่งที่ทำให้เขาก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองมาสู่พื้นที่ที่สปอตไลต์จับตัวอย่างงานนิทรรศการนี่คืออะไรกันแน่ “เพราะส่วนตัวผมชอบคนกลุ่มนี้ครับ” ตั้งตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ (เขาหมายถึงผ้าป่าน – สิริมา ไชยปรีชาวิทย์, อีฟ – มาริษา รุ่งโรจน์ และทอม – ธีระฉัตร โพธิสิทธิ์ สามผู้ก่อตั้ง HOP – Hub of Photography) “ผมรู้สึกว่าพวกเขาน่ารักกับเรา และผมรู้สึกว่าที่นี่เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยพอที่ผมจะไปลองอะไรใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับตัวเองกับเขาน่ะครับ” ถือว่าเป็นการก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยที่คิดว่าค่อนข้างปลอดภัยสินะ เราออกความเห็นด้วยประโยคที่เราคิดว่าค่อนข้างงง แต่ตั้งกลับพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น “ใช่ๆ คงเพราะผมรู้สึกว่าผมชอบนิสัยคนกลุ่มนี้มากด้วยมั้งครับ พวกเขาเป็นคนที่เรารู้จักมานาน แฮงก์เอาท์ด้วยกันมานาน มีเรื่องราวในชีวิตพัวพันกับพวกเขาเยอะมาก บวกกับที่พี่ผ้าป่านบอกว่าจะทำอะไรก็ได้ ตามใจผมเลย มาลองมั่วๆ ไปด้วยกัน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขาชวนผมมาเล่นน่ะ ผมคงคลิกกับคำว่า ‘ชวนมาเล่น’ ก็ได้มั้งครับ” 

เพราะการถ่ายรูปคือการเล่นตั้งแต่แรกสำหรับตั้ง ผ้าป่าน ผู้ทำหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์ในงานนิทรรศการครั้งนี้จึงมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการตัดสินใจที่จะแสดงงานนิทรรศการในครั้งนี้ “ผมซูมคุยกับพี่ผ้าป่าน เขาก็บอกว่ามันมีการแสดงนิทรรศการตั้งหลายอย่าง ผมเลยเสนอไปว่า ถ้าผมอยากให้งานนิทรรศการของตั้งมันเป็นอะไรที่ ‘เล่นๆ’ แบบไม่เน้นรูปสวยอะ ทุกรูปที่เอาไปแสดงในงานจะขอพรินท์แตกๆ ได้ไหม ขอดึงสีให้เซ็นเซอร์แม่งเลือดไหลเลย และผมก็ทำแบบนั้นจริงๆ ด้วยนะ คือพอเห็นงานพรินท์นี่คืออื้อหือ… อย่างเหี้ยอะ” ตั้งหัวเราะคิกคัก “คือ เขาพรินท์ออกมาดีนะ แต่งานกูนี่แหละ เหี้ยเอง… พี่ผ้าป่านก็เลยยกตัวอย่างว่าเคยมีคนทำงานนิทรรศการทั้งหมดเป็นห้องมืดมาแล้ว ผมเลยได้ไอเดียว่า ผมจะทำนิทรรศการของผมเป็นห้องที่ต้องฉายไฟฉาย เหมือนกับ The Ghost Radio เล่าเรื่องผีอะไรแบบนั้น ซึ่งเขาก็อนุญาตนะ แต่ก็ท้วงแหละว่าเวลาฉายไฟไปที่รูป มันจะสะท้อน และเห็นภาพไม่ชัดนะ แต่ไม่เป็นไรไง ไม่เน้นสวยเว้ย เน้นประสบการณ์ล้วนๆ​” 

ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยว่าผู้ชมที่เข้ามาชมงานนิทรรศการของตั้งนั้นจะ ‘ตกหลุม’ ที่เขาขุดไว้ตลอดทั้งนิทรรศการ ไม่ว่าจะเป็นการเอาภาพพับเข้ามุมห้อง หรือภาพเดียวกันที่จัดแสดงซ้ำกันสองครั้ง “ตอนนั้นพี่ผ้าป่านก็ถามนะว่า นี่เป็นการจัดแสดงครั้งแรกในห้องนี้เลย จะห่อห้องมืดเลยเหรอวะ” เขาหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “มันไม่ชวนคนเลยนะ ซึ่งผมก็เข้าใจในมุมของเขาในฐานะภัณฑารักษ์นะ แต่ผมรู้สึกว่าเขาใจดีกับผมมาก และผมดีใจมากจริงๆ ที่เขาอนุญาตให้ผมห่อห้องเขาเป็นห้องมืดๆ อะไรก็ไม่รู้ ผมรู้สึกว่าเขาเคารพความเป็นผมมากน่ะ ถึงเขาจะอยากให้นิทรรศการจัดในห้องสว่างๆ ที่ดึงดูดคนมากกว่างานมืดๆ เป็นบ้านผีสิง แต่เขาก็ยอมให้ผมทำตามใจ มันกินใจมากตอนที่เขาบอกว่า ‘จะทำอะไรก็ทำเลย’ คือ ถ้าผมจัดนิทรรศการเองนะ ผมว่าเละแน่ คือไม่ต้องมาดูรูปหรอก แค่เดินเข้ามาแล้วก็ม้วนออกไปเลยแน่นอน มันไม่มีทางรู้เรื่อง เลยรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ภัณฑารักษ์ต้องทำนั่นแหละ พอศิลปินเป็นคนที่งงมาก คุณก็ต้องมาจัดระเบียบอะไรบางอย่างให้มันออกมาเป็นจริงได้ เลยรู้สึกดีที่ได้มาร่วมเล่นในครั้งนี้ครับ” 

บทบาทของ ‘ภาพถ่าย’ ในชีวิตของผู้กำกับภาพ

เห็นได้ชัดว่าสำหรับตั้งแล้ว ภาพถ่ายเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับเขามากกว่าที่จะเป็นวิชาชีพจริงจัง แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธนะว่า สนามเด็กเล่นของเขานี้ก็คือสนามทดลองอะไรใหม่ๆ ที่เขาพอจะเอาไปใช้ในโลกของการทำงานของเขาในฐานผู้กำกับภาพได้ไม่น้อยทีเดียว “การถ่ายหนังมันมีเทคนิคมากขึ้นร้อยเท่า เพียงเพราะว่ามันขยับน่ะ” ตั้งอธิบาย “การจัดแสงให้ภาพนิ่งคือการทำให้มันพอดีสำหรับมุมนั้น ณ ช่วงเวลาสั้นๆ แต่การถ่ายหนัง การจัดแสงจะต้องพอดีกับการที่กล้องจะไหลไปตามเฟรมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เท่ากับว่าการถ่ายหนังหนึ่งวินาที ผมต้องคิดเป็นภาพนิ่งทั้งหมด 25 ภาพ เทคนิคมันเลยเพิ่มขึ้นมหาศาลในช่วงเซ็ตอัพน่ะครับ ผมเลยเอาความรู้จากการถ่ายหนังมาประยุกต์ใช้กับภาพนิ่งได้ง่ายขึ้น เพราะผมคิดเป็นภาพนิ่ง 25 ภาพอยู่แล้วไง เวลาจะจัดไฟหนึ่งครั้ง แต่การถ่ายหนังมันไม่มีพื้นที่ให้ทดลองได้เท่ากับการถ่ายภาพนิ่ง เพราะการถ่ายภาพนิ่งหนึ่งเฟรม ฝั่งซ้ายขวาบนล่างของเฟรมจะมีอะไรก็ได้ เพราะกล้องไม่ได้ขยับไปไหน แปลว่าไฟจะวางอยู่ตรงไหนก็ได้นอกเฟรม บวกกับกำลังไฟของภาพนิ่งนั้นจะแรงกว่ากำลังไฟถ่ายหนังในขนาดที่เล็กกว่า พื้นที่ของการเล่นและทดลองมันจึงหลากหลายกว่า ทำให้เราเอาการเล่นตรงนี้กลับไปใช้ในการถ่ายหนังของเราได้น่ะ” ยังไงนะ… เราตามไม่ค่อยทันเรื่องเทคนิคสักเท่าไหร่ “มันทดลองได้มากขึ้นน่ะ” ตั้งพยายามหาคำอธิบาย “การถ่ายหนังคือการเรียนรู้เทคนิค และทำให้ดีในขอบเขตที่มันมีอยู่แล้ว ส่วนการถ่ายภาพนิ่งคือการดันเพดานของเทคนิคต่างๆ ให้สูงขึ้นน่ะครับ” 

ดังนั้น นอกเหนือไปจากการเป็นเครื่องมือในการระบายอารมณ์ หรือบันทึกสภาวะของตัวตั้งในขณะที่กดชัตเตอร์แล้ว ภาพนิ่งยังทำหน้าที่เป็นตัวส่งเสริมวิชาชีพหลักของเขาได้อีกด้วย ถือว่าเป็นสายสัมพันธ์ที่ขาดกันไม่ได้ไปแล้วล่ะ เราแอบตั้งข้อสังเกต ซึ่งตั้งก็ยักไหล่โดยไม่ตอบอะไร และถึงแม้ว่าตั้งจะไม่ได้มีความคิดจะจัดนิทรรศการอีกครั้งในเร็วๆ นี้ แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า ถ้าเขาไม่เชื่อในนิทรรศการ traditional แบบจ๋าๆ เขามองภาพนิทรรศการที่เขาอยากให้มันเป็นอย่างไรบ้าง “เอาจริงๆ ฟังดูไม่ค่อยดีต่อช่างภาพทั้งยุคมากเลยนะ สิ่งที่ผมกำลังจะพูดเนี่ย” น้ำเสียงเขาดูทั้งตื่นเต้น และท้าทายไปพร้อมกัน “ผมเชื่อในการดูรูปผ่านหน้าจอน่ะ เพราะผมเป็นคนแบบนั้น เป็นนิสัยส่วนตัวเลย ผมชอบดูรูปที่จัดแสดงในนิทรรศการเฉพาะงานที่ผมสนใจจริงๆ เท่านั้น แต่ส่วนตัวแล้ว การดูรูปในจอมันเวิร์คมากจริงๆ สำหรับผม คือผมเพิ่งเริ่มเล่นไอจีเมื่อสามปีที่แล้วเอง ซึ่งช้ามาก แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าการที่มี # รวมรูปสไตล์ที่เราชอบทั้งหมดมาเป็นกรุ๊ปเยอะๆ และมีฟังก์ชั่นซูมให้ดูนั้นเป็นเรื่องที่เวิร์คมากสำหรับผม นี่คือพฤติกรรมความใจร้อนของผมเอง ผมชอบภาพที่ visual มันเตะใส่หน้า ผมไม่ได้ชอบถ่ายภาพที่มีรายละเอียดอะไรมากมายขนาดนั้น คนที่ชอบรายละเอียดในภาพคงเกลียดวิธีของผม คือ ผมเคารพการมีอยู่ และการแสดงภาพแบบ traditional จ๋าๆ นะ และผมก็เคารพคนที่ต้องการจะดูภาพแบบนั้นด้วย เพียงแต่ผมไม่ใช่คนกลุ่มนั้นเท่านั้นเอง”

เอาล่ะ… ขอจบบทสนทนาในวันนี้ด้วยการย้อนกลับไปสู่คำถามแรกที่เราคุยกัน นั่นคือตั้งบอกว่าตั้งให้ค่ากับการเดินทางไปดูงานนิทรรศการเป็นอย่างมาก และถ้าตั้งจะต้องจัดนิทรรศการออนไลน์ของตัวเอง ตั้งมีแนวทางที่ตัวเองเชื่อ และคิดว่ามันเข้มแข็งพอที่จะดึงดูดให้คน ‘เดินทาง’ มาดูนิทรรศการออนไลน์ของตั้งบ้างไหม “มีครับ” น้ำเสียงของเขากระตือรือร้นจนทีมงานเราอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ “เคยคิดงานนิทรรศการออนไลน์ไว้หนึ่งแบบที่จะทำลายล้างคนดูมาก อยากให้เป็นงานนิทรรศการที่หน้าจอซ่าๆ แตกๆ เหมือนโดนแฮ็ค และพอคนเข้ามาในเว็บที่ภาพแตกๆ นั่น ก็จะมีเกมส์เรียงเพชรที่คนเกลียดๆ กันน่ะ คุณต้องเล่นเกมส์นี้ให้ผ่านให้ได้ก่อน ถึงจะได้ดูรูปงานนิทรรศการ อะไรแบบนี้ครับ และก็คิดไว้อีกอันหนึ่งเลย มีชื่องานไว้แล้วด้วยนะ ชื่อว่า Thunder, Lightning and Shits ให้คนเข้ามาเจอฟ้าผ่า เจอจอกระพริบขาวๆ ให้ซูมที่กูเกิ้ลแมพผ่านเมฆสามสี่ก้อน ต้องเลือกซูมให้ถูกก้อนนะ ถึงจะได้ดูรูป ถ้าเลือกผิดก้อน ก็โดนฟ้าผ่า ตาย ไปเริ่มใหม่ เป็นอะไรต้องทำให้คนลำบาก” เขาหัวเราะ “แต่รู้สึกว่าแบบนี้ล่ะครับ มันส์ดีแน่นอน” 

It’s So Bright and Confusing จัดแสดงที่ห้อง WHOOP! (Hub of Photography) ชั้น 3 โซน MUNx2 ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม – 28 พฤศจิกายน 2564

 

images
images
images
images
images
images
images
images
images
images
images
พิสูจน์อักษร : ชลดา สวนประเสริฐ