ภาพ: ธันวา ลุจินตานนท์
“ขนาดผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ผมยังไม่ซื้อหนังสือทุกวันเลย” ณัฐ ประกอบสันติสุข ตอบคำถามเราด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเราถามถึง ‘ความคาดหวัง’ ที่เขามีในยามที่ตัดสินใจเปิดร้านหนังสืออิสระ World at The Corner ร่วมกับสีวิกา ประกอบสันติสุข ผู้เป็นพี่สาว “ผมเข้าใจเรื่องนั้นนะ แต่สิ่งหนึ่งที่จะเรียกได้ว่าเป็นความคาดหวังได้หรือเปล่า ผมไม่อยากจะคาดหวัง เพราะกลัวจะผิดหวัง ใช้คำว่า ‘ตั้งความหวัง’ ดีกว่านะ ผมตั้งความหวังไว้ว่า นอกจากร้านนี้จะเป็น sanctuary ให้กับตัวผมเองแล้ว มันน่าที่จะเป็นประตูโดราเอม่อนให้กับใครหลายๆ คนที่สนใจอยากจะอ่านหนังสือ อยากให้เป็นสถานที่ที่ให้แรงบันดาลใจคน ให้หนังสือมันทำหน้าที่ของมันให้เต็มที่ที่สุด นั่นคือ สร้างแรงบันดาลใจให้คนออกเดินทาง เหมือนกับที่หนังสือต่างๆ กระตุ้นให้ผมออกเดินทางนั่นล่ะครับ”
หนังสือส่วนใหญ่ที่ณัฐและก้อยเลือกมาเติมจนเต็มชั้นหนังสือขนาดย่อมนั้น เกิดจากความชอบของคนทั้งคู่ผสมผสานกัน “ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ พออ่านหนังสือแล้วก็อยากจะเดินทาง พอได้เดินทาง ก็ชอบเดินทาง และชอบเอาหนังสือไปอ่านระหว่างเดินทาง มันก็เกี่ยวพันกันไปมาเนอะ” เขาหัวเราะ “พออ่านหนังสือเยอะๆ เราก็มีจินตนาการเยอะ อยากไปโน่นไปนี่ ถึงแม้ว่าเวลาไปถึงที่นั่นมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราฝันทุกอย่างหรอกนะ แต่มันก็มีภาพลางๆ ซ้อนอยู่ เหมือนเป็นอีกมิติหนึ่งซ้อนทับภาพตรงหน้า มันทำให้ภาพที่เราเห็นข้างหน้าช่างเต็มไปด้วยความหมาย มันไม่ใช่แค่ตลาดที่มีคนเดินไปเดินมา แต่มันมีเทพปกรณัม มีเรื่องราวเรื่องเล่าต่างๆ ซ้อนทับอยู่”
“หลายคนเคยบอกผมว่า รูปของผมมีลายเซ็นที่เห็นชัดเจนว่าเป็นงานของผม แต่พอให้ผมถามตัวเองว่าลายเซ็นพวกนั้นคืออะไร ผมก็ตอบไม่ได้หรอก ผมแค่เป็นคนที่ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่เคยทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ”
ด้วยความที่ทำอาชีพเป็นช่างภาพ ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่า ณัฐเห็นอะไรในระหว่างการเดินทาง และสายตาของเขาที่มองผ่านเลนส์ยามไม่ได้ทำงานนั้นเป็นสายตาอย่างไรกันแน่ “ผมตอบไม่ได้หรอก” เขาตอบทันที “หลายคนเคยบอกผมว่า รูปของผมมีลายเซ็นที่เห็นชัดเจนว่าเป็นงานของผม แต่พอให้ผมถามตัวเองว่าลายเซ็นพวกนั้นคืออะไร ผมก็ตอบไม่ได้หรอก ผมแค่เป็นคนที่ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่เคยทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ มันเลยอาจจะเป็นแบบนั้น คือมีทิศทางของตัวเอง ในระหว่างการเดินทาง ผมจะติดกล้องไปด้วย ผมมีความสุขมากเวลาได้เห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ หรือเห็นสิ่งที่ตัวเองเคยอ่านเจอในหนังสือ ตอนแรกๆ ผมเอากล้องใหญ่ไป เอาเลนส์ไปสองตัว แต่ก็ทิ้งไว้ที่โรงแรมตัวหนึ่งอยู่ดี (หัวเราะ) เพราะมันหนัก จะให้สะพายกล้องตัวขนาดนั้นเดินไปไหนต่อไหน ขึ้นเขาลงเขา ก็ไม่เอา ตอนหลังๆ ผมเลยลดไซส์กล้องลงไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เหลือแค่กล้องคอมแพ็กต์ พอเหลือเท่านี้ มันก็เลยเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการฝึกฝนตัวเองในเรื่องอื่นๆ ถ้าผมคาดหวังกับอุปกรณ์ในมือไม่ได้ ผมก็ต้องหาสาร หรืออะไรที่จะสื่อออกมาในรูปนั้น ทำให้ผมหัดที่จะฝึกการวางคอมโพสต์ การสร้างคอนเซ็ปต์ และฝึกความคิดในรูปแบบต่างๆ ไปน่ะครับ
“เวลาเดินทาง ผมจะได้ฝึกตัวเองให้อยู่กับกล้องที่มีตรงหน้า ถ้ากล้องซูมไม่ได้ ผมจะทำอย่างไร พอกลับมา ผมก็ได้ความรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราควรจะทำสินะ ดังนั้น ผมจึงบอกทุกคนว่า การเริ่มต้นถ่ายภาพ หรือเริ่มต้นอะไรก็ตามในชีวิต คุณลืมสิ่งหนึ่งไป นั่นคือ คุณลืมสิ่งที่คุณมีอยู่ในมือ คุณกลับแสวงหาสิ่งที่คุณไม่มี คุณแสวงหาอุปกรณ์ที่จะทำให้ภาพคุณสวยเหมือนคนโน้นคนนี้ แต่คุณลืมดูว่าในมือคุณถืออะไรอยู่ และคุณจะสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากสิ่งที่คุณมีในมือได้อย่างไร การเดินทางแต่ละครั้งของผมจึงเป็นการฝึกตัวเองให้อยู่กับสิ่งที่ผมมี ทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมนั้นทำอะไรได้บ้าง” คำตอบของณัฐนั้นทำให้เราถึงกับอึ้งและตาสว่างไปพร้อมๆ กัน ไม่น่าเชื่อว่าการได้คุยกับช่างภาพตรงหน้านั้นจะทำให้ตะกอนในใจที่กรุ่นๆ ของเรานั้นสงบลงได้อย่างรวดเร็ว
“ผมไม่ได้มองชีวิตแบบนั้นนะ” คือคำตอบของณัฐ เมื่อเราถามว่าในตอนนี้ชีวิตของเขาผ่านจุดที่เบ่งบานที่สุดมาแล้วหรือยัง “ผมเข้าใจเรื่อง ‘ความเบ่งบาน’ ที่คุณพูดถึงนะ มันเป็น self esteem ชนิดหนึ่ง แต่ผมไม่ได้มองตัวตน หรือมองชีวิตแบบนั้น ผมไม่ได้มองว่าชีวิตจะต้องมีจุดสูงสุด แล้วค่อยๆ เหี่ยวแห้งไป ผมมองว่า ชีวิตมีเรื่องสนุกได้ทุกวัน คนเราเปลี่ยนแปลงทุกวัน หลังจากเราหลับ และตื่นขึ้นมา เราจะกลายเป็นคนใหม่ในทุกๆ วัน ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า ในวันหนึ่งที่เราผ่านอะไรต่อมิอะไรมา เหตุการณ์เหล่านั้นจะกระตุ้นความคิดอะไรบางอย่างในชีวิตของเรา เมื่อเราหลับลงไปทั้งๆ ที่ภาวะนั้นอยู่ในสมองเรา มันก็จะค่อยๆ ย่อยจนกระทั่งเราได้ไอเดียใหม่ในระหว่างที่หลับ พอตื่นขึ้นมา เราอาจจะค้นพบว่า เรามีจุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิตแล้ว และจุดมุ่งหมายนั้นอาจจะเป็นคนละอย่างกับเรื่องเมื่อวานก็ได้ ดังนั้น ร้านหนังสือนี่อาจจะเป็นความเบ่งบานในชีวิตผมในแง่ที่ว่ามันเป็นสิ่งใหม่ให้ผมได้คิด ได้ทำ ได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ อยากให้มันเป็น sanctuary ของตัวเองในวันที่ผมไม่อยากจะทำอะไรหวือหวาอีกต่อไปน่ะครับ”