brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Jun 2025

กล้อง - ปิยทัศน์ ปฏิภาณประเสริฐ
Overseas Potential
เรื่อง : ธันวา ลุจินตานนท์
ภาพ : สันติ ใจแสน
16 Feb 2022

แรกเริ่มเดิมทีเรารู้จักร้านล้างฟิล์มย่านสนามเป้าอย่าง Space Cat Lab อยู่แล้ว แต่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า กล้อง – ปิยทัศน์ ปฏิภาณประเสริฐ เป็นหุ้นส่วนของร้านดังกล่าว จนกระทั่งมีเพื่อนเรามาบอกว่ามีพี่ที่รู้จักคนนึงไปเปิดร้านล้างฟิล์มอยู่ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ทำให้เราเริ่มสนใจและหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าเขาเป็นใคร จนไปเจอกับอินสตาแกรมของเขาที่มีชื่อเข้าใจง่ายและล้อไปกับเขาว่า gongtairoop (กล้องถ่ายรูป) ด้วยความอยากรู้อยากเห็น รวมถึงอยากเข้าใจประสบการณ์การทำร้านล้างฟิล์มที่เมืองนอกว่าจะเป็นอย่างไรทำให้เรารีบทัก DM ไปหากล้องเพื่อนัดสัมภาษณ์

ช่างภาพที่ต้องการรู้ทุกสิ่งตอบคำถามทุกอย่าง

ปัจจุบันกล้องทำงานเป็นช่างภาพ หลักๆ คือถ่ายเว็ดดิ้งและแฟชั่น ขณะเดียวกันเขาก็บริหารร้านล้างฟิล์มสามร้านด้วยกัน คือ Halide Supply 2 สาขาที่เมลเบิร์น และ Space Cat Lab ที่กรุงเทพฯ 

เขาเท้าความให้เราฟังก่อนว่าเขาจับกล้องตั้งแต่สมัยมัธยมปลายด้วยซ้ำ เวลาทำกิจกรรมต่างๆ เขาก็ถ่ายด้วยกล้องคอมแพ็คเซ็นเซอร์เก่าๆ แบบ ccd คุณภาพไฟล์ก็เพียงแค่ 5 ล้านพิกเซลเท่านั้น แต่พอย่างเท้าเข้ามาในวงการนี้มันก็ทำให้เขาได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า ‘หน้าชัดหลังเบลอ’ จนตัดสินใจไปซื้อกล้อง DSLR มาใช้งาน เพื่อให้ได้ภาพแบบที่เขาต้องการ พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ นั่นเป็นช่วงชีวิตที่เขาตัดสินใจออกไปรับงานต่างๆ

“ตอนแรกเราอยากเรียนนิเทศฯ เพราะอินเรื่องภาพยนตร์ แต่รู้สึกว่าเราชอบถ่ายรูปมากกว่า ก็เลยลองถ่ายรูป แล้วหันมาทางนี้แทน พอปีหนึ่งปีสองก็อยากลองทำงานโซนนี้จริงๆ เลยรับถ่ายงานรับปริญญา พอมาสักช่วงปีสี่กับช่วงหลังเรียนจบเป็นช่วงที่เจอกล้องฟิล์มที่บ้าน แล้วก็ลองเอามาถ่ายดู

“แม่งสนุกเฉยเลย! ถ่ายเยอะมากซื้อฟิล์มทีสองสามหมื่นบาท แต่ตอนนั้นมันถูกมากเนาะ ก็เริ่มถ่าย แล้วเราก็ชอบลุคฟิล์ม เลยเอาฟิล์มไปถ่ายงานเว็ดดิ้ง สรุปทำให้เราลงลึกกว่าเดิมอีก อินจัดเลย

“พอเริ่มลงลึกขนาดนั้นก็รู้สึกว่าทำไมร้านล้างฟิล์มบ้านเราสีไม่สวย เลยส่งไปให้ ริชาร์ด แล็บ (https://www.richardphotolab.com) ที่อเมริกาล้างสแกนเลย ก็มีคำถามต่อว่าทำไมสีที่เราล้างที่ไทยมันไม่ได้แบบนั้นวะ เพราะแสงบ้านเรา หรือการวัดแสง หรือน้ำ หรือเครื่องสแกน ตอนนั้นเรามีเงินเท่าไหร่ เราเอาเข้าไปใส่ฟิล์มหมดเลย จนถึงขั้นซื้อเครื่องสแกนมาไว้ที่บ้าน คือเอาจริงเราอินแบบลงลึกมาก”

กล้องมักจะติดตามงานช่างภาพต่างประเทศ ทุกครั้งที่ไปพอเขาไปดูว่าช่างภาพแต่ละคนที่เขาชอบงานนั้นเป็นคนที่ไหน คำตอบนั้นมักจะเป็นเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียทุกครั้ง และด้วยความเป็นคนท้าพิสูจน์ และต้องการคำตอบ เลยเป็นแรงกระตุ้นและผลักดันให้เขาตัดสินใจว่าต้องไป

“เรารู้สึกว่ารูปที่ถ่ายมันยังขาดอะไรอยู่ เพราะไม่ว่าจะเติมเต็มเรื่องเทคนิคหรืออะไรก็ตาม แต่เรารู้สึกว่าไม่ได้พัฒนาขนาดนั้น เลยคิดว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเทคนิคแล้ว มันอาจจะเป็นมุมมองหรืออะไรพวกนี้ เราก็เลยคิดว่าประเทศออสเตรเลียน่าจะเป็นคำตอบให้เราได้ คือเราอยากรู้ว่าช่างภาพคนนี้แบบนี้เขาโตมายังไงเสพอะไรเลยเป็นแบบนี้

“เรารู้สึกว่ามุมมองของช่างภาพมันค่อนข้างสำคัญ เพราะมันสะท้อนตัวตนของเราออกมา มันสะท้อนทุกสิ่ง ผมก็เลยคิดว่าลองมาดูแล้วกัน ทิ้งงานทิ้งทุกอย่างไป เสียดายเหมือนกัน แต่ไม่เสียใจเพราะเราก็โตขึ้นในหลายๆ ด้าน มีความโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้าง เพราะมันมาอยู่เองมาลำบากอยู่ เพราะภาษาก็ไม่ได้ หนึ่งปีแรกก็เป็นช่วงเหมือนหานู่นหานี่ทำ ทีนี้จากหนึ่งปีก็ยาวมาห้าปีเลย”

ชีวิตที่เมลเบิร์น

“เราได้วีซ่า work & holiday วีซ่าจากสถานทูต คือมีโควต้าได้ปีละ 500-1000 คน แล้วผมโชคดีได้พอดี” เรากำลังจะเอ่ยปากถามด้วยซ้ำว่ากล้องมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วก็นานขนาดไหน แต่เหมือนเขารู้อยู่แล้ว รีบบอกเราเพราะตอนแรกเราเข้าใจว่าเขาน่าจะทำวีซ่ามาเรียน ก่อนจะเริ่มทำงานแล้วอยู่ที่นี่

“สุดท้ายก็เรียนครับ เพราะวีซ่ามันได้แค่หนึ่งปี หลังจากนั้นเหมือนมันมีแค่ไม่กี่ทางเลือกครับ เป็นนักท่องเที่ยวก็ได้แค่สามเดือน เลยไปลงเรียนละกัน แต่เหมือนเรียนไปเพื่อฟาร์มวีซ่าเรียนเพื่ออยู่ ไปเรียนอะไรจำชื่อไม่ได้แต่เป็นประมาณ business management เรียนสายนี่ก็ดีเพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นคนจัดการอะไรไม่ได้”

แต่ตอนนี้กล้องก็จัดการบริหารร้านทั้งสามแบบเรียกได้ว่าราบรื่น ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่ามันหนัก แต่เท่าที่คุยกันคือมันเป็นไปด้วยดี และลูกค้าก็ล้นหลาม เรากลับมาคุยกับกล้องต่อว่าแล้วชีวิตตอนแรกที่มาถึงมันเป็นยังไงกัน

“ผมเริ่มจากทำงานร้านขายกล้องฟิล์มที่นี่ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่พอ ก็เลยถามเจ้าของว่าอยากทำแล็บมั้ย จะลองทำให้ เพราะตอนนั้นผมยังไม่ได้มีความรู้เรื่องเครื่องอะไรขนาดนั้น ก็มีแค่สแกนเนอร์ที่บ้านผมก็เลยส่งเครื่องนี้จากที่บ้านมาที่นี่เลย

“ที่นี่มันจะมีเว็บเหมือนขายดี (kaidee.com) ก็เจอเครื่องล้างราคา 3,000 เหรียญออสเตรเลีย แต่ที่นี่มันเป็นคนละยี่ห้อ บ้านเราจะเป็น Noritsu แต่ที่นี่เป็น Fuji มันยุ่งยากมาก เพราะเซ็นเซอร์เยอะมาก ถ้าตัวนึงเฟลก็เฟลหมด ผมก็ต้องไปนั่งอ่านกระทู้ต่างๆ เยอะมาก เพราะไม่มีความรู้เรื่องเครื่องเลย ไม่รู้อะไรเลยก็ต้องหาคู่มือมานั่งอ่านจนเข้าใจ

“แต่ร้านนี้หลังๆ ก็มีเรื่องนิดหน่อยเลยต้องออก คือเขาอยากเอาของไว้เองแต่มันเป็นของเรา (สแกนเนอร์)​ เพราะเขาเห็นว่าร้านมันอยู่ได้แบบไม่ต้องมีพวกเรา ก็เลยให้เราไปหางานใหม่ เพราะไม่มีเงินจ่าย เรากับเพื่อนสามคนก็ออกพร้อมกันหมด แล้วก็มาเปิดร้านเองคือ Halide Supply ซึ่งวันที่ออก พวกเราเอาเงินไปเช่ารถบรรทุกเพื่อมาขนของของเราออกให้หมด

“เขาโกรธพวกเรามาก บอกว่าพวกเราหักหลังเขา แล้วยังจะมาเอาเครื่องเขาไปอีก แต่เราบอกว่ามันไม่ใช่ มันเป็นของเราไง เราเคยบอกแล้วว่าเราเอาเครื่องมาให้ มันคือการลงทุนของเราซึ่งปันผลก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้เลย”

เราฟังไปยิ้มไป เพราะเอาเข้าจริงมันสนุกมากกับเรื่องที่กล้องเล่า ถึงแม้ว่าถ้าโดนจริงตอนนั้นเราอาจไม่ตัดสินใจทำแบบที่เขาทำก็ได้ กล้องยังเล่าให้เราฟังถึงวิธีคิดการทำงานของคนที่นู่นด้วยว่าเขาคิดกันตลอดว่าร้านต้องยังไง พัฒนาแบบไหน แล้วก็มันต้องทำยังไงให้ร้านนั้นสามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างราบรื่น

“วิธีคิดของฝรั่งคือว่าถ้าเซ็ตอัพแล็บแล้ววันหนึ่งเครื่องล้างพัง เราต้องทำงานได้ต่อโดยที่ไม่ต้องปิดร้าน  สุดท้ายเลยต้องมีสองเครื่อง ทุกอย่างต้องมีแบ็คอัพ เราคิดว่ามันดีเหมือนกันเพราะมันเป็นมาตรฐาน ทีนี้มันเลยต้องเบิ้ลทุกอย่างเลย เครื่องล้างมีสองแบรนด์แบรนด์ละสองตัวก็เป็นสี่ เครื่องสแกนมีสี่ตัวก็ กลัวพังใช่มั้ย แปดตัวไปเลย แล้วตอนนี้มีสองสาขาด้วย ทุกอย่างก็เบิ้ลไปอีก” กล้องพูดไปขำไปกับเรื่องความต้องการสร้างมาตรฐานของเพื่อนเขา

กล้องยังบอกกับเราว่างานที่นู่นค่อนข้างเยอะ แล็บในตัวเมลเบิร์นนั้นมีอยู่หกแล็บได้ ส่วนจำนวนคนที่ถ่ายนั้นเยอะมาก วันๆ นึงมีฟิล์มเข้ามาให้ล้างได้ไม่รู้จบ เราจึงถามเขาถึงความแตกต่างของลูกค้า ภาพถ่ายหรือสิ่งที่เหล่าคนเล่นกล้องฟิล์มที่นู่นเขาสนใจเมื่อเทียบกับที่บ้านเรามันต่างกันขนาดไหน

“ผมว่าต่างกันเยอะมาก ที่นี่ลูกค้าที่เจอคือ ปาร์ตี้ มิวสิคกิ๊ก คอนเสิร์ตเล็กๆ ที่ผับก็แห่กันไป เพราะคนที่นี่เน้นซัพพอร์ทโลคอล ส่วนพวก personal project ก็เยอะ ถ่ายอะไรแปลกก็เยอะ บางคนถ่ายหัวดับเพลิงตามหัวถนนอย่างเดียวทุกรูป แล้วก็มีถ่ายขยะ

“คนที่นี่เขาใช้ฟิล์มเป็นสื่อในการผลิตงาน มันเลยมีทุกรูปแบบ พอร์เทรตก็เยอะ editorial ก็เยอะ มีช่างภาพคนนึงถ่าย Uber Eats ก็ใช้กล้องฟิล์ม แล้วก็มีอีกคนนึงเหมือนรับจัด catering อาหารเป็นแบบ chef’s table แต่รูปเขาเป็นรูปฟิล์มหมดเลย คือขอบเขตมันกว้างมาก

“ที่ไทยที่เห็นเยอะๆ ก็พอร์เทรต แต่ที่นี่คือทุกอย่าง แลนด์สเคปที่นี่ก็เยอะหนักเลย ถ่ายปั๊มกันเยอะมาก เพราะปั๊มแต่ละที่ไม่เหมือนกัน ก็จะมีคนถ่ายวิว ถ่ายปั๊ม ถ่ายรถวินเทจ ก็จะมีสายรถ บางคนก็ชอบตึก มีงานดีๆ เยอะมาก เขาใช้ฟิล์มเป็นเรื่องปกติ เป็นชีวิตประจำวัน บางรูปก็จะมีไปลง art gallery ประจำเมลเบิร์นก็มี มันกว้างมาก”

ไทยจากการมองผ่านระยะไกล

“เราว่าที่ไทยยังตามที่อื่นอยู่ เรียกว่าไงดี มันเหมือนเป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์นะ เราเลยคิดมันน่าจะมีจุดบางจุดที่แผ่ไปถึง แต่มันก็ยากตรงค่าแรงขั้นต่ำกับค่าฟิล์ม ที่นี่ทำงานชั่วโมงนึงได้ 25 เหรียญ ซื้อฟิล์มโกดักคัลเลอร์พลัสได้สามม้วน ที่ไทยทำงานวันนึงถึงจะได้ม้วนนึง แล้วที่นี่ถึงฟิล์มแพงแต่คนไม่สนใจเลย พวกโพลารอยด์กล่องละพันกว่าบาทเขาก็เอาไปถ่ายเล่นถ่ายเซลฟี่ เรื่องสำคัญมากคือเรื่องเงินเลย

“เรื่อง supplier ก็สำคัญ เพราะที่ไทยคือเป็นปัญหา ที่นี่ค่อนข้างแฟร์นะเขาโอเพ่นพอที่จะให้ซื้อจากของใครก็ได้ แต่ที่ไทยตัวเลือกมันน้อย มันโดนบังคับว่าเราต้องไปซื้อจากเจ้านี้เท่านั้น แล้วบางทีคือถ้าไม่รู้จักก็ไม่ให้ซื้อ มันใจร้าย คือเราก็อยากได้ฟิล์มต้องทำยังไงเหรอถ้าอย่างนั้นแล้วที่ไทยก็บวกราคาเยอะเพราะอยู่นี่ผมสั่งตรงจากโกดักก็รู้ราคาอยู่แล้ว”

ปัญหาค่าครองชีพแปรผกผันกับราคาข้าวของในไทยไม่ใช่แค่คนที่อยู่ในประเทศเท่านั้นที่รู้ แต่มันไปจนถึงคนไทยในต่างประเทศยังเห็นภาพ การที่ราคาข้าวของอาหารต่างๆ กลับสูงขึ้นในทุกวันทำให้ประเทศของเรานั้นมันเพิ่มโอกาสเข้าไปพบเห็นศิลปะได้ยากขึ้นสำหรับคนที่ไม่มีเงิน ทำให้ความเข้าใจในพื้นที่ตรงนี้มันก็เสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดายเพราะถ้าหากการเมืองดีเราเชื่อว่ามันก็สามารถช่วยสนับสนุนและผลักดันวงการศิลปะหรือการถ่ายภาพให้ไปได้ไกลกว่านี้ได้แน่นอน

กล้องยังเสริมในเรื่องของการทำร้านล้างฟิล์มและพื้นที่สำหรับการพัฒนาช่างภาพวัยเด็กอีกนิดหน่อย

“ที่นี่ก็มีที่ให้โชว์ผลงานเยอะ คือที่ไทยผมว่าก็เริ่มเยอะนะ เมื่อก่อนรู้จักกันแค่หอศิลป์ แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีเยอะมากขึ้นผมมองว่ามันดีนะ แล้วก็ที่ตั้งใจทำ Space Cat Lab มากๆ เพราะเราต้องการให้มันเป็นสื่อเป็น medium เพื่อพัฒนาคนไปด้วย ที่นี่ผมเจอเด็กรุ่นๆ 15-16-17 เริ่มจากถ่ายเล่นๆ เราก็คุยกับเขาแนะนำการถ่ายให้กับเขา เขาก็ถ่ายดีขึ้นจนเป็นช่างภาพเลยก็มี เราว่าร้านฟิล์มมันสำคัญ เพราะมันเป็นเหมือนคนที่สามารถช่วยฟีดแบคให้ลูกค้าอีกทีว่าเขาน่าทำอะไรยังไง เป็นคนช่วยจุดประกายให้เขาได้ เราว่ามันทำให้คนพัฒนาได้ดีขึ้นได้แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นแต่ก็ช่วยนิดนึง”

สุดท้ายคือเรายังมีหวังอยู่กับการพัฒนาวงการแต่เราก็ไม่แน่ใจว่าที่ไทยจะเป็นที่แห่งนั้นได้หรือไม่ เพราะเราเริ่มเห็นช่างภาพหรือศิลปินในแขนงต่างๆ นั้นเริ่มตัดสินใจที่จะเดินทางออกจากประเทศเราเพื่อไปหาโอกาส สร้างโอกาสในชีวิตของเขาที่ประเทศอื่นที่เห็นคุณค่าและมีมาตรฐานชีวิตที่สมเหตุสมผลกว่าตอนนี้ ซึ่งกล้องทำให้เราได้เห็นภาพของกระแสการถ่ายภาพที่ต่างประเทศ รวมไปถึงได้เข้าใจว่าภาพถ่ายฟิล์ม กล้องฟิล์มนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนที่นั่น เพราะมีรัฐสวัสดิการที่ดีจนทุกคนเข้าถึงของต่างๆ ได้อย่างง่ายดายจนเราคาดหวังว่าในอนาคตอันใกล้นั้นที่ประเทศเราจะสามารถไปอยู่ในจุดนั้นได้เช่นกัน

สามารถติดตามอินสตาแกรมของกล้องได้ที่ gongtairoop และร้านฟิล์ม Space Cat Lab ที่กรุงเทพฯ ไปจนถึง Halide Supply ที่เมลเบิร์นกันได้เลย

พิสูจน์อักษร: ชลดา สวนประเสริฐ