ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
หากทอดสายตาออกไปมองกรุงเทพฯ ทุกวันนี้เราจะเจอพื้นที่จัดแสดงงานภาพถ่ายมากพอสมควร มีผู้คนให้ความสนใจการถ่ายภาพมากขึ้นทั้งแง่ศิลปะและความชอบส่วนตัว ทว่าลำพังมีพื้นที่จัดแสดงแต่ไม่มีพื้นที่สร้างผลงานจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไปได้อย่างไรใน Ecosystem นี้ หากไม่นับมหาวิทยาลัยที่มีคณะสอนการถ่ายภาพแล้วจะมีเพียงกี่สถาบันกี่กลุ่มที่ตั้งตนเป็นพื้นที่เหมือนสำนักวิชาให้ฝึกวิทยายุทธของเหล่าช่างภาพก่อนออกไปปะทะกับงานระดับนานาชาติ
ความน่าสนใจอย่างหนึ่งที่มองเห็นในวงการภาพถ่ายบ้านเรา คือมีช่างภาพชื่อดังหลายคนที่พวกเขาไม่ได้เริ่มต้นยึดการถ่ายภาพเป็นงานหลักตั้งแต่แรก มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าในบ้านเราน่าจะยังมีจอมยุทธมากฝีมืออยู่อีกมาก หากมีพื้นที่รองรับให้ช่างภาพสมัครเล่นและมืออาชีพได้ฝึกเคล็ดลับวิชากัน คงจะเป็นความน่าสนใจไม่น้อยกับความหวังในการส่งช่างภาพไทยไประดับโลกให้เป็น ‘เรื่องธรรมดา’ และที่ว่ามานี้คือภารกิจของทีม Fotogarten โดยความคิดที่มีกลิ่นของแพชชั่นอันแรงกล้านี้ถูกสร้างขึ้นจากคนสองคนได้แก่ ปิ่น – กาญจนาภรณ์ มีขำ และ เตย – ภาสินี ประมูลวงศ์ ทั้งสองหลงใหลในกระบวนของการทำงานภาพถ่ายและการค้นหาสไตล์แห่งตัวตน ซึ่งทั้งคู่เคยมีประสบการณ์ในกระบวนการบ่มเพาะช่างภาพกับโปรเจกต์ IN-TURN-SHIFT ของ D1839 มาก่อน
Fotogarten ผ่านตาผมครั้งแรกบน facebook ส่วนตัวของ ปูเป้-จุฑารัตน์ ภิญโญดุลยเจต ช่างภาพไทยในนิวยอร์กที่เคยทำงานให้สื่อใหญ่มาแล้วหลายค่ายอย่าง The New York Times, The New Yorker, Nylon และ Wall Street Journal เป็นต้น ซึ่งภายหลังได้มารู้ว่าเธอนั้นคือทีมงานคนสำคัญและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างวงโคจรให้ช่างภาพไทยได้เจอกับช่างภาพต่างประเทศในสวนภาพถ่ายแห่งนี้ทั้งผ่านคอร์สออนไลน์ของ Fotogarten และการเปิดโปรเจกต์ Portfolio Review ให้ช่างภาพไทยยื่นผลงานส่วนตัวเพื่อพัฒนางานต่อไป
ความดีงามของพวกเธอยังทำให้ผมอิ่มเอมใจไปอีกขั้นเมื่อรู้ว่างาน Foto in the Garten นิทรรศการภาพถ่ายงานแรกที่เพิ่งจัดไปนั้น ดำเนินไปด้วยความเป็นมิตรต่อโลก เพราะเธอทั้งสองใส่ใจตั้งแต่การขั้นตอนการพรินต์รูปที่ใช้วิธี Risograph เป็นการใช้ลมแทนความร้อนและสีที่ใช้ก็ทำมาจากพืชที่ไม่มีปัญหาในการพรินต์ในปริมาณมากอีกด้วย ความเลิศขึ้นไปอีกคือภาพที่จัดแสดงทั้งหมดในนิทรรศการถูกนำมาทำเป็นสมุดโน๊ตท่ีลายไม่ซ้ำกันให้แก่น้องๆ ผ่านมูลนิธิกระจกเงา รวมถึงป้ายงานก็ได้ดัดแปลงทำเป็นกระเป๋าผ้าแจกจ่ายแก่บุคคลที่มาร่วมแรงร่วมใจกันสร้างงานนิทรรศการครั้งแรกในสวน Fotogarten ของพวกเธอ
นอกจากความน่าสนใจในตัวเนื้อหาของกิจกรรมและโปรเจกต์ต่างๆ ที่ Fotogarten กำลังทำอยู่ โลโก้คือสิ่งที่ชูความเป็นตัวตนและจุดยืนของพวกเธอได้เด่นชัด ภาพของดอกไม้สี่เหลี่ยมถูกออกแบบโดย แพรวา – มนสิชา ศรีสวนแตง ที่แต่ละเหลี่ยมนั้นมาจากภาพแต่ละใบที่สามารถบิดไปมาประกอบเป็นรูปทรงได้ตามจินตนาการของช่างภาพ โดยสาเหตุที่ทั้งคู่เลือกใช้สี่เหลี่ยมเป็นองค์ประกอบหลักเพราะสี่เหลี่ยมนั้นคือพื้นฐานของรูปภาพ ภายใต้บทสัมภาษณ์นี้เราจะมาทำความรู้จักกับพวกเธอทั้งสองให้มากขึ้นผ่านแพชชั่น ความตั้งใจและความฝันที่จะสร้างสวนนี้ให้เติบโตขึ้นอย่างงดงามและยั่งยืน
Fotogarten
พวกเธอเปรียบกระบวนการสร้างงานภาพถ่ายเป็นเหมือนสวนดอกไม้ที่ช่างภาพแต่ละคนก็แทนดอกไม้ต่างสายพันธุ์ แต่มารวมกันอยู่เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งสวนของพวกเธอนั้นไม่ได้เพียงปลูกไว้เพื่ออวดโฉมให้แขกบ้านแขกเมืองมาเชยชมเท่านั้น แต่ทั้งคู่ได้ใส่ใจและเฝ้าดูการเติบโตของแต่ละต้นให้เขาได้เติบโตอย่างเต็มที่ในสไตล์ของตนเอง
ปิ่น – เรารู้สึกว่าถ้าทำโปรเจกต์นี้ในแบบส่วนตัวจะไม่เกิดประโยชน์ เราก็เลยคุยกันกับเตยว่าเราสร้างมันเป็นกรุ๊ปที่ตั้งใจทำไปเลยไหม ซึ่งเราสนใจเรื่องกระบวนการตั้งแต่เราทำงานที่ D1839 หลักๆ คือเราทำด้วยกันและมองเห็นประเด็นเดียวกัน เรื่องการฝึกฝนในงานภาพถ่าย แล้วก็กระบวนการในการทำงาน มันทำให้เกิด Fotogarten ขึ้นมา ซึ่งชื่อนี้มันก็มาจากการสมาสคำด้วย เฮ้ยทำยังไงดี เราอยากให้การดูภาพถ่ายมันสนุกและไม่ทำให้อยู่แค่บนผนัง คำว่า Foto มาจาก photography แน่นอน และที่เราเขียนว่า Foto มันเป็นภาษาพูด อยากให้อ่านตามนั้นเลย และ Garten มันมาจากคำว่า garden ที่แปลว่าสวน แล้วก็ kindergarten ที่แปลว่าอนุบาล เรารู้สึกว่าภาพถ่ายมันมีที่มาที่ไป แล้วมันก็เหมือนกับการสร้างรากฐานด้วย คือว่ามันจะค่อยๆ โตไป แล้วคนที่มาหาเราหรือว่าคนที่เราอยากไปทำงานด้วย ที่เริ่มจากจุดเล็กๆ เหมือนกัน
เตย – เหมือนเราทำสวน แล้วช่างภาพแต่ละคนก็เหมือนดอกไม้ ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ว่าทุกคนก็โตในสวนนี้ได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของคนสวนไม่ใช่แค่ว่าเราจะต้องไปจัดดอกไม้อย่างเดียว มันคือการใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน ซึ่งเราว่ามันคือบทบาทของ Fotogarten
ปิ่น – สรุปว่าการที่เราจะไปสู่การทำโปรเจกต์กับเมืองนอกได้ เราต้องสร้างรากฐานก่อนว่าเรามองเห็นอะไร เราทำอะไร เพื่อให้เขารู้ว่าเราเป็นใคร เพื่อให้เขารู้ว่าเมื่อมีโปรเจกต์อะไรเข้ามา เราจะทำได้อย่างมีจุดยืน เพราะเราคิดว่าทุกงานภาพถ่ายเองมันไม่ใช่แค่รับมาแล้วให้แล้วจบ แต่เราอยากจะทำงานทั้งกับช่างภาพและภาคส่วนอื่นๆ รวมถึงคนจัดโปรเจกต์ที่ให้เรามาทำ แม้กระทั่งคนดูเองว่าเขาสนุกอย่างไรได้บ้าง คือเรามองความสนุกเป็นหลักมากๆ ด้วย เพราะว่าสวนนี้ก็คือสวนที่สนุก
อนุบาลได้ไม่จำกัดอายุ
แม้ชื่อ Fotogarten อาจจะชี้ชวนให้มองว่าเป็นพื้นที่เหมาะกับช่างภาพรุ่นใหม่วัยเยาว์ แต่เจ้าของสวนดอกไม้แห่งนี้ได้บอกว่าสวนของพวกเธอนั้นไม่ได้จำกัดด้วยอายุ อายุไม่ได้เป็นปัจจัยในการทำงานภาพถ่าย เพราะงานภาพถ่ายมันเป็นเรื่องของกระบวนการทำงานร่วมกันมากกว่า
ปิ่น – เรารู้สึกว่าอันนี้ไม่เกี่ยงกับอายุเลย ถ้ารู้สึกว่าเอนจอยกับการทำสิ่งนี้กับพวกเรา ซึ่งการอนุบาลมันไม่จำเป็นต้องตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นใครที่อยากเข้ามาในสวนเราก็จะช่วยสร้างมันไปด้วยกัน เป็นดอกไม้ที่โตไปด้วยกัน มันไม่เกี่ยวกับหน้าใหม่หน้าเก่า เพราะเรารู้สึกว่าบางทีการทำงานของช่างภาพบางคนที่เมื่อโตไปเขาอาจจะเปลี่ยนมุมมอง แล้วก็อยากมาลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง แม้กระทั่งเด็กเองที่เขาอาจรู้สึกว่าจะไม่ได้ชอบวิธีการแบบนี้ ไม่ได้ชอบสวนนี้ เราก็รู้สึกว่าเขาก็มีพื้นที่อื่นที่จะไปได้ด้วยเหมือนกันเราเลยไม่ได้จำกัดว่ามันต้องเป็นเรื่องของอายุ
เตย – เราว่ามันคือเรื่องของ mentoring เราว่ามันคือคำนั้นมากกว่า จริงๆ Fotogarten เริ่มแรกจะเป็นคอร์สออนไลน์ ที่ทำมาทั้งสองอันได้ดึงต่างประเทศเข้ามาช่วยหมดเลย อย่างคอร์สแรกก็มีทั้ง Landon Nordeman มี Maya Akashika แล้วก็ Elizabeth Renstorm คอร์สที่สองก็มี Marvin Orellana และ Umi Syam คือเรารู้สึกว่างานหลักของ Fotogarten ได้แก่ การทำคอร์ส การทำเวิร์คชอป การทำนิทรรศการ ที่จริงๆ แล้วมันก็หลังบ้านที่พูดถึงการ mentoring ด้วย จริงแล้วคนที่ Open Call มาก็มีหลากหลายอายุนะ
ปิ่น – อย่างล่าสุดที่เราทำก็เป็นพี่เราเลย พี่เน็ต-วัสพล สิงห์สังข์ ทำมานานแล้วแต่เราก็ไม่เคยรู้เลยว่ามีคนนี้อยู่ เอาจริงเขาทำงานสายโปรดักส์แต่เขาถ่ายรูปเยอะมากๆ จนแบบมันเก็บเป็นซีรีส์ได้ เหมือนเรามาเปิดกรุด้วยกัน

ผลงานจากในโครงการ Foto in the Garten จากซ้ายไปขวา : ไกรวิชญ์ ตั้งสมบูรณ์ , วัสพล สิงห์สังข์ , จารุเดช ไชยเลิศ , วันนิษา แสนอินทร์
ภาพถ่ายบนพื้นที่สาธารณะ
การพัฒนางานอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่ต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำคือสิ่งที่ Fotogarten ให้คำมั่นกับเหล่าช่างภาพที่ตบเท้าเข้ามาในสวนแห่งนี้ ไม่นานมานี้พวกเธอได้จัดนิทรรศการภาพถ่ายในสวนชื่อ Foto in the Garten เล่าภาพผ่านธีมเรื่องพื้นที่สาธารณะ เพราะไม่เพียงประเด็นที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้อย่างสนุกระหว่างช่างภาพไทยและเมนเทอร์จากต่างประเทศ แต่ตัวของพื้นที่สาธารณะยังมอบความหมายต่อการสร้างชีวิตให้แก่ผลงานและประสบการณ์การดูภาพถ่ายแบบใหม่ต่อผู้คนที่สนใจอีกด้วย
ปิ่น – ตอนแรกเราเริ่มจากกลุ่มช่างภาพที่เหมือนแลกเปลี่ยนความรู้กันก่อนภายใน แต่ที่นี้พอมันเป็นคนอื่นแล้วเขาจะเข้าใจเรายังไงบ้าง เราก็เลยย้อนมาที่ว่า Fotogarten มันมีความหมายว่าอะไร มันคือสวนดอกไม้ของภาพถ่าย เรารู้สึกว่าเราอยากเอาสิ่งนี้มาอยู่ในพื้นที่จริงดู มันก็เลยกลายเป็น Foto in the Garten ก็คือภาพในสวน และพอที่นี้เรากำลังจะพูดถึงเรื่อง Open access มันก็ต้องพูดถึงเรื่อง Public space ด้วยที่ว่ามัน จะทำยังไงให้คนเข้ามาดูภาพได้ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็น Public space ไม่ใช่ที่จัดงานภาพถ่ายเท่านั้นแต่ที่ที่คนมีชีวิตอยู่ตรงนั้นด้วย และเขาก็เห็นภาพถ่ายอยู่กับชีวิตของเขา เลยยกธีมนี้ขึ้นมา เลือกสถานที่เป็นสวนครูองุ่นเพราะว่าเป็นที่สวนกลางเมืองขนาดเล็ก ช่วงกลางวันก็จะมีคนเข้าไปนั่งพัก มีร้านค้า มีคนเข้ามาบริจาคของ มันทำให้เห็นว่าภาพถ่ายมันอยู่กับชีวิตคนธรรมดาอย่างไรบ้าง โดยที่มันไม่ได้กระโดด เราก็เลยเลือกที่จะทำประเด็นนี้ และอีกอย่างก็คือพาร์ท Portfolio Review ด้วย เรารู้สึกว่าการที่ทำประเด็น Public Space เหมือนการที่เรานำโจทย์สากลมาลองให้ช่างภาพไทยได้ต่อยอดด้วย เพราะโจทย์นี้มันแทบจะอยู่ในทุกงาน Editorial Photography ทั้งโลกเลยด้วยซ้ำ คนที่มาในพาร์ท Portfolio Review ของเราก็มาจากเมืองนอก เราก็เลยอยากให้เขาได้เจอกับประเด็นที่เขาคิดในหัวของเขาเทียบบริบทของไทยเป็นยังไงให้เขาคอมเมนต์บนพื้นฐานจากอะไรได้บ้าง ให้ได้ลองเชื่อมต่อไทยไปสู่สากลด้วย
เตย – จากที่ปิ่นพูดมามันแตกเป็นสองประเด็นใหญ่ๆ ของการทำ Foto in the Garten หนึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงการ mentoring ช่างภาพที่เราพูดถึงมาตลอด เราอยากทำสิ่งนี้เป็นเหมือนนำร่องเพื่อให้ช่างภาพที่ถูกคัดเลือกเข้ามาทำงานผ่านโจทย์แล้วผ่านรูปแบบใกล้เคียงกับต่างประเทศมากที่สุด นอกจากตัวงานจะมี Sinna Nasseri เข้ามาช่วย มีพี่ปูเป้ที่เป็นคนเช็คและเป็นคนดูการทำงานก่อนจะถึง Sinna อันนี้คือในส่วนของ mentoring ที่เราพูดถึง นอกจากนั้นเราก็ใช้การพรินต์แบบ Risograph ซึ่งเราคิดว่าตรงนี้ก็สำคัญ อย่างที่เราเห็นภาพถ่ายมันไปอยู่ในหนังสือพิมพ์ อยู่ในแมกกาซีน การพรินต์มันแตกต่างกัน เรารู้สึกว่าอยากให้ช่างภาพได้ลองทำงานว่าถ้างานตัวเองต้องมาจบที่ขั้นตอนนี้ เขาคิดอย่างไรได้บ้าง เขาทำงานบนพื้นฐานเหล่านี้อย่างไรได้บ้าง โดยที่ในอนาคตเขาโตไปอยู่เมืองนอกเขาจะได้ไม่งง และสองที่ปิ่นพูด เราอยากให้ส่วนนี้มัน Open Access ต่อผู้คน คำว่าทุกคนในที่นี้เรารู้สึกว่า การเปิดสวน หมายถึงว่ามันไม่มีวันเปิดแบบ ‘วันเปิด’ แต่ว่าพอสวนเปิดแล้วเราเอางานเขาไปตั้งมันไปไกลกว่าที่เราคิด
ปิ่น – เพราะว่าคนเล่นกับงานเลยโดยที่ไม่ต้องคำแนะนำอะไรบอกว่าคุณต้องดูชิ้นนี้หรือดูชิ้นนั้น มันกลายเป็นว่าทุกคนมีสัมพันธ์กับการดูด้วยการรับรู้ตรงหน้าว่า ถ้าเจอหลุมตรงนี้ ฉันจะกระโดดหรือฉันจะเหยียบมัน หรือถ้าเห็นคิวอาร์โค้ดที่แบบสอบถาม พื้นที่สีเขียวคืออะไร คุณจะตอบเข้าไปหรือระบายสีในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ทันที
เตย – เราเอาภาพหลุมไปติดของ ท็อป-ไกรวิชญ์ ตั้งสมบูรณ์ ไปติดอยู่บนอิฐทางเดินแล้วมันมีทั้งคนที่เหยียบและไม่เหยียบ เราก็ชอบไปถาม ‘ทำไมเหยียบล่ะ’ เขาตอบ ‘มันก็เหมือนเล่นเกมไง ให้มันโดน’ เด็กบางคนไม่เหยียบ ถามต่อแบบ ‘ทำไมไม่เหยียบ’ ก็บอกว่า ‘ไม่เหยียบเดี๋ยวตกหลุม’ คือแค่การเล่นตรงนี้เรารู้สึกว่ามันทำให้เห็นได้เยอะมากขึ้นเลย หรือบางคนมาเขารู้สึกว่าเฮ้ยจริงๆ นี่คือชีวิตฉันทุกวันเลยนะที่ออกจากบ้าน แต่ฉันแค่อยู่ในโหมดเอาตัวรอดจนฉันไม่รู้ตัวว่าชีวิตลำบากขนาดนี้ ฉันต้องหลบหลุมบนถนนเยอะขนาดนี้ เพื่อชีวิตฉัน ฉันแค่ไม่รู้ เพราะว่าจริงๆ การจัดงานในสวน ไม่ใช่แค่ที่สวนหรอก เพราะในอนาคตเรายังทำอย่างนี้ในพื้นที่ที่คนเข้าถึงได้ง่ายมากๆ มันทำให้งานภาพถ่ายมีชีวิตในอีกรูปแบบนึงของมันและมันโตในรูปแบบตัวเอง
- ผลงานบางส่วนของ ไกรวิชญ์ ตั้งสมบูรณ์ ที่จัดแสดง
- ผลงานบางส่วนของ วัสพล สิงห์สังข์ ที่จัดแสดง
แผนที่ที่ทำให้ทั้งคู่ค้นพบสวนดอกไม้แห่งนี้
ก่อนหน้านิทรรศการ Foto in the Garten ทาง Fotogarten ได้ทำการจัดทำคอร์สออนไลน์มาแล้วด้วยกันสองคอร์ส ได้แก่ Creative Univerise ที่จะช่วยตบไอเดียและความสนใจของเราให้เข้าที่เข้าทางและพาไปค้นหาสไตล์ที่ใช่สำหรับตัวเอง และ Portfolio Platform การทำพอร์ตเพื่อเป็นการกรุยทางไปต่อในโลกของภาพถ่าย ซึ่งในตัวของคอร์ส Creative Univerise เป็นเหมือนลายแทงที่ทำให้ทั้งสองได้ค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำร่วมกันคืออะไร
ปิ่น – ใครที่เป็นช่างภาพแล้วเราไม่รู้ว่าเราจะทำงานอย่างไง สไตล์ไหนคือสไตล์เรา เรามีคอร์สที่เคยพูดไปซึ่งตอนนี้ก็ยังสามารถเข้าไปดูได้อยู่ สามารถกดเข้าไปใน Linktree เป็นพาร์ทชื่อ Creative Univerise ที่จะช่วยตอบว่าสไตล์ของคุณเป็นแบบไหน เรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของคุณมันส่งผลกับงานของคุณนะ คอร์สนี้แทบจะจับมือบอกเลยว่าทำยังไงในการที่จะเข้าใจตัวเองแล้วก็เป็นตัวอย่างของช่างภาพด้วยว่า เขาเองก็มี Creative Univerise แล้วเขาใช้มู้ดบอร์ดของเขาในการทำงานอย่างไง เป็นตัวอย่างของคนที่มีงานจริงๆ ทั้งฝั่ง Editorial, Commercial และ Artist
เตย – แบบเต้ย (ผู้เขียน) สัมภาษณ์ช่างภาพมาเยอะอาจจะมีคำนึงที่ถูกพูดเยอะมาก คือคำว่ามันเป็น ‘สไตล์’ ของเรา หรือมันเป็น ‘สไตล์’ ของเขา แล้วสไตล์มันคืออะไร เราว่าการทำ Creative Univerise จะเป็นสิ่งที่ทำให้ใครก็ตามแล้วตอบได้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองมี manifesto ที่อธิบายคำว่าสไตล์ได้อย่างไรบ้าง ที่จริงไม่ใช่แค่ช่างภาพ เตยกับปิ่นเองก็ทำนะ
ปิ่น – สิ่งนี้ทำให้เราได้ทำ Fotogarten ด้วยเหมือนกันเพราะได้รู้ว่าเรามองหาสิ่งนี้อยู่ เตยมองหาสิ่งนี้อยู่ เออแล้วเรามาทำกันไหม
เตย – อีกคอร์สคือ Portfolio Platform แน่นอนเรารู้แล้วว่าเราเป็นคนยังไง ที่ผ่านมาเราเป็นคนยังไงแล้วเราจะทำให้มันไปต่อยังไง ตั้งแต่ทำเป็น PDF ทำใน instagram แล้วก็ทำเว็บไซต์ด้วยซึ่งคนที่จะมาคุยให้เราฟังคือ Marvin Orellana ซึ่งเป็น Photo Researcher ของ Apple ที่แคลิฟอร์เนีย แล้วก็เคยเป็น Senior Photo Editor ของที่ต่างๆ ในนิวยอร์ก อีกคนคือ Umi Syam เป็น Graphic Editor ทำ Interactive Article ที่มีแต่ภาพ เล่าสนุกมาก ก็เลยชวนเขามาพูดคุยนี่แหละให้เห็นความเป็นไปได้ของการทำพอร์ทหรือการทำเว็บไซต์มันไปได้ไกลแค่ไหน
ปิ่น – โดยทุกคนก็สามารถส่งงานตัวเองไปเมืองนอกได้ แค่คุณจัดการตรงนี้และก็ไปต่อ
พื้นที่ที่จะทำให้เราโตขึ้นกว่าเมื่อวาน
ท่ามกลางการตื่นตัวในวงการถ่ายภาพบ้านเราไม่ว่าจะวัดด้วยสายตาต่อจำนวนผู้คนที่เดินเข้าออกชมงานภาพถ่ายตามแกลเลอรี่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ หรือจำนวนงานนิทรรศการที่งอกเงยขึ้นทุกๆ เดือน ทว่าการเกิดขึ้นของ Fotogarten ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อจับลมที่พัดแรงในกระแสดังกล่าว แต่เป็นการเสริมรากฐานให้แข็งแรงเสียมากกว่าต่อสังคมและการทำงานภาพถ่ายของช่างภาพในประเทศไทย
เตย – เราว่ามันมีที่ฟีเจอร์งานมากขึ้น แน่นอนคนให้ความสนใจเยอะขึ้น แน่นอนช่างภาพก็มากขึ้น แต่ว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ อย่างนึงใน Landscape การถ่ายภาพ ที่ Fotogarten มาเติมคือการพูดถึงกระบวนการของการทำงาน เพราะว่าถ้าถามจริงๆ แล้ว Fotogarten จะมองข้ามชอตไปถึงวงการภาพถ่ายโลกกับต่างประเทศเป็นหลักด้วยส่วนนึงและเราอยากจะให้ช่างภาพไทยได้เห็นด้วยว่าเขาสามารถโตไปในระดับโลกได้ยังไงได้บ้าง เพราะเราว่าโลกของ Visual Culture มันไปได้ไกล
ปิ่น – เรารู้สึกว่าปัจจุบันวงการภาพถ่ายไทยมันก็มีหลากหลายพื้นที่มีฟีเจอร์ มีแกลเลอรี่อิสระขึ้นมา แต่เรารู้สึกว่าแล้วเราจะเข้าไปร่วมหรือพาภาพถ่ายในเมืองไทยไปได้ เราทำท่าไหนได้บ้างที่เป็นเราสองคนมากที่สุด นั่นก็คือ ‘Connect Global’ ที่เราเขียนใน instagram ยาวๆ นั่นเอง ส่วนตัวเราเองก็ทำงานกับฝั่งญี่ปุ่นตลอด ก็รู้สึกว่าเราดึงศักยภาพตรงนี้ที่เรามีพามันไปได้
เตย – คือในไทยก็มีคนที่มีศักยภาพ แน่นอนทุกที่บนโลกมีคนมีศักยภาพ แต่นั่นแหละเราจะต้องไปต่ออย่างไร ประเด็นหลักๆ ของ Fotogarten คือแต่ละคนโตไปจากที่นี่ได้ยังไง เราไม่ได้มองการฟีเจอร์เป็นหลัก แต่เราจะมองว่าเขามาหา Fotogarten เพื่อที่เขาจะไปต่อ เรามองตรงนั้นเป็นหลัก พื้นที่อย่าง Fotogarten เป็นพื้นที่ที่เขาผ่านเข้ามาแล้วเขาโตขึ้นกว่าตัวเองเมื่อวาน