brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Jun 2025

FLESH FRESH!
Nudity It's not just for sex
เรื่อง : กษิดิ์เดช มาลีหอม
ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
8 Sep 2022

ภาพนู้ด เป็นหนึ่งในการแสดงออกเรื่องเพศที่เข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมกระแสหลักอย่างสง่างาม แต่ในบางมิติก็ต้องแอบซ่อนจากสายตาของสังคม 

ประวัติศาสตร์ภาพนู้ดบ้านเรามีให้ศึกษาตั้งแต่ผลงานขึ้นหิ้งของหม่อมหลวง ต้อย ชุมสาย ช่างภาพผู้บุกเบิกการถ่ายภาพศิลป์บนเรือนร่างหญิงสาว โดยครั้งหนึ่งคัดมันดู โฟโต้ แกลเลอรี่ ของคุณมานิต ศรีวานิชภูมิก็เคยนำผลงานชั้นครูท่านนี้มาจัดแสดง จนไปถึง นิตยสารนวลนาง ความบันเทิงของชายไทยยามว่างที่กุมความสัมพันธ์อันเปลี่ยวเหงาของพวกเขาเอาไว้ สิ่งพิมพ์ปลุกใจเสือป่าถือเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สร้างมุมมองการรับรู้ภาพโป๊และภาพนู้ดอย่างสลับสับสนในสังคมบ้านเรา

หากย้อนตามความทรงจำของผู้เขียน ภาพดาราสาวนุ่งบิกินี่บนมาลัยไทยรัฐที่ตีพิมพ์ออกมาแต่ละครั้งก็เรียกเสียงก่นด่าจากผู้ใหญ่ใกล้ตัว ที่ตอนนั้นก็ยังไม่ทราบดีว่าตกลงสิ่งนี้คือภาพนู้ดใช่หรือไม่ รู้แต่ว่ามันไปขัดกับเส้นศีลธรรมของคนใกล้ตัว 

ปัจจุบันการทำงานภาพถ่ายนู้ด นอกจากใช้แรงกายแรงสมองอย่างเข้มข้นในการสร้างสรรค์ผลงานและการสร้างความเชื่อใจและไว้วางใจกันระหว่างช่างภาพและแบบ ยังต้องสู้รบตบมือกับกระแสสังคมที่คอยถากถางและเคลือบแคลงพฤติกรรมเชิงศีลธรรม แต่สำหรับผมนั้นสิ่งที่จะบอกกล่าวสังคมให้เรียนรู้เรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจและเติบโตในเชิงของทัศนคติได้นั้น คือการสร้างพื้นที่ให้เกิดการปะทะเชิงความคิดหรือกลั่นตะกอนความคิด โดยการเล่าภาพนู้ดผ่านความสร้างสรรค์ ชูเนื้อหาด้วยประเด็นที่แข็งแรง และสุดท้ายแสดงความจริงใจในการทำงาน โดยทั้ง 3 ข้อหลักๆ นี้คือสิ่งที่ผมเก็บตกได้จากงาน FLESH FRESH! นิทรรศการภาพนู้ดที่ชวนคนดูมาเปลือยความคิดต่อรูปแบบงานที่ดิบสดใหม่

FLESH FRESH! นิทรรศการภาพถ่ายและสื่อผสม ผลงานจัดแสดงส่วนใหญ่จะเพนต์สีทับลงบนภาพถ่ายนู้ดเพื่อการตีความใหม่ งานนี้เป็นการรวมตัวของศิลปินเพื่อนกัน 4 คน แบ่งเป็นศิลปินภาพถ่าย 2 คน ได้แก่ แมท-โศภิรัตน์ ม่วงคำและ มิกซ์-พลวัต กระแสร์เปี่ยม ศิลปินภาพวาด ไผ่-ธนสาร คณะเกษม และศิลปินสตรีทอาร์ต ต้าร์-88TGU ซึ่งงานนี้คุณต้าร์ เป็นตัวตั้งตัวตีชักชวนเหล่าเพื่อนมาเล่นสนุกกับพื้นที่คอนกรีตเปลือยเปล่าที่ ‘แล็บลิ้นน คาเฟ่’ โดยงานนี้มีกิ่ง-เบญจพรรณ รุ่งศุภตานนท์ เป็นคิวเรเตอร์ ซึ่งผมได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้ง 4 คนถึงที่มาที่ไปของงานในครั้งนี้ รวมถึงประเด็นศีลธรรมในการทำงานและเสพภาพนู้ด การสื่อสารและการตีความของคำว่า ‘นู้ด’ จากศิลปินสู่พื้นที่สาธารณะ 

Treetana Vee Tgu 

เริ่มด้วยคนสำคัญที่นำทุกคนมาเจอกันในงานครั้งนี้กับ ต้าร์-Treetana Vee Tgu aka. 88TGU ศิลปินสตรีทอาร์ต เจ้าของผลงานของเล่นแนวพาโรดี้ที่สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์ทุกครั้งเมื่อมีการเปิดตัวชิ้นงานใหม่ ด้วยบุคลิกที่มีความสนุกในทุกมิติและทุ่มเทพลังงานเพื่อความมันโดยเฉพาะ งานของต้าร์จึงเป็นความดิบที่สดใหม่และชวนขบขันเสมอ

ด้วยความที่เขารู้จักกับเจ้าของพื้นที่เป็นอย่างดี จึงเป็นโอกาสให้ต้าร์ได้เข้ามาดูพื้นที่และตัดสินใจจะจัดแสดงทันทีหลังได้พบเจอกับเสน่ห์บางอย่างที่กระตุกไอเดียในหัวของเขาก่อนที่จะกดโทรศัพท์ชวนพรรคพวกอีก 3 คนให้มาสนุกกัน

“คือที่นี่เป็นที่ของเพื่อน ก็เลยมานั่งเล่นๆ ดื่มกาแฟ เฮ้ย…ร้านดิบดีว่ะ พอขึ้นไปดูพื้นที่หลักข้างบน ข้างบนหนักกว่าอีกเหมือนไซต์ก่อสร้างที่โดนทิ้งร้างเหมือนแคมป์คนงานด้วยซ้ำ แม่งดิบดี เรานึกถึงถ้าเป็นรูปเปลือยแล้วมาแปะบนผนัง ดิบๆ ปูนๆ แบบนี้มันยิ่งเสริมกัน นึกถึงแรงงานที่เขาแปะรูปนู้ดในแคมป์ คือไม่รู้ว่าหาจากไหนมาแปะ และบางทียามว่างเขาเลิกงาน เขาก็แบบปล่อยจินตนาการในการเพนต์ภาพ ใช้ปากกาวาดทับบนรูปนู้ด ถ้าเคยเข้าไปในแคมป์จะเห็น เราก็เลยได้ไอเดียเรื่องการเพนต์ทับมา” 

ก่อนหน้าที่จะได้มาลุยงาน FLESH FRESH! ต้าร์เคยได้ทำอาร์ตทอยร่วมกับแอ็กเคานต์นึงใน Onlyfans เป็นตุ๊กตาผู้หญิงร่างเล็กสวมหน้ากากดาร์ธเวเดอร์ นับเป็นประสบการณ์ใกล้เคียงที่สุดของเจ้าตัวกับงานนู้ด แต่สำหรับผมสิ่งที่ดูน่าสนใจไปกว่านั้นคือความหมายที่อยู่ใต้หน้ากากสีดำอันทรงพลังแห่งจักรวาลของตัวละครดาร์ธเวเดอร์

“เราเกิดยุคสตาร์ วอร์ส ยุค 80’s-90’s สตาร์ วอร์ส มันคือป๊อปคัลเจอร์แบบนึง ที่คนยุคนี้จะอิน ถ้าเนิร์ดหน่อยจะอินพวกสตาร์ วอร์ส, สตาร์ เทรค แล้วเราชอบดาร์ธเวเดอร์จริงจัง เราชอบคาแรกเตอร์มัน เราชอบการดีไซน์ ตัวดาร์ธเวเดอร์มันก็มีทั้งความมืดและความสว่างอยู่ในตัว ถ้าเราไปดูหนังจริงๆ จะมีปรัชญาซ่อนนิดๆ ถึงมันจะเป็นหนังเด็กก็เถอะ”  

สืบเนื่องจากคาแรกเตอร์ของพื้นที่อันเปล่าเปลี่ยว โอบล้อมด้วยความเปลือยของโครงสร้างตึก เกิดเป็นบรรยากาศแห่งความดิบ เขาจึงตัดสินใจที่จะคิดให้น้อยที่สุดและใช้มวลอารมณ์เป็นวัตถุดิบสำคัญในการสร้างสรรค์งานในครั้งนี้ ซึ่งหากมีใครมาถามว่าชิ้นนี้พูดถึงเรื่องอะไร เขาอยากให้ลองตีความตามความรู้สึกและประสบการณ์ได้เลย เพราะเมื่องานเสร็จและถูกนำไปจัดแสดงแล้ว วินาทีนั้นคือเป็นหน้าที่ของงานไม่ใช่ของหน้าที่ของศิลปินอีกต่อไป

“การเพนต์ทับโฟโต้มันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ส่วนงานนี้เราไม่ได้วางแผนอะไรเลย เราใช้วิธีการกางรูปมันขึ้น ในตอนนั้นเรามีอารมณ์ไหนฟีลไหนเราก็วาดทับมันไปเลย โดยไม่ร่างอะไรทั้งสิ้น ไม่วางแผน โดยเรารู้สึกว่าอยากจะให้มันเข้ากับคอนเซปต์เรื่องการเปลือย เพราะฉะนั้นเรา ณ จุดนั้นวินาทีนั้น มันเป็นอะไรที่เราก็ทำตรงนั้นอย่างที่เรารู้สึก ณ เวลานั้นเลย ปล่อยอารมณ์ให้มากที่สุด” 

การถามหานิยามความหมายของภาพนู้ดเป็นคำถามที่ผมจะถามต่อศิลปินทุกคน แน่นอนว่าทั้ง 4 คนในที่นี้คงจะมีทัศนคติเดียวกันต่อการทำงานภาพนู้ด แต่ผมก็ยังอยากได้ยินความแตกต่างที่ในนิยามพวกเขามอบให้ความเปลือยนี้

“เราไม่ได้รู้สึกว่านู้ดมันอนาจารหรืออะไรอยู่แล้ว เพราะว่าเราทำงานศิลปะ นู้ดมันก็คือการที่คนๆ นึงไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ซึ่งคนเราเกิดมามันก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอยู่แล้ว เราแค่อุปโลกน์ ความผิดถูกขึ้นมาเองแล้วก็บอกว่าแก้ผ้าคือเรื่องผิดหรือไม่ดี อะไรก็แล้วแต่ก็เป็นการอุปโลกน์ขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น สมัยก่อนก็เปลือยนมโชว์กันโจ๋งครึ่ม ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็เป็นแค่ข้อตกลงร่วมกัน ณ เวลานึงของสังคม เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตอาจจะให้แก้ผ้าก็ได้” ผมนึกตามในหัวแต่ไม่ได้พูดออกไป มันก็ไม่แน่นะหากอนาคตเราใส่หมวกกันอย่างเดียวเหมือนกับอาร์ตทอยที่สวมหน้ากากดาร์ธเวเดอร์ตลอดเวลา เพราะจริงๆ สิ่งที่มนุษย์แอบซ่อนและปิดบังไว้มากที่สุดคือความรู้สึกนึกคิด 

ต้าร์ตบท้ายต่อคอนเซปต์งาน FLESH FRESH! ในเรื่องความเปลือยที่ไม่ได้ถูกจำกัดความแค่เปลือยร่างกาย

“เปลือยมันก็แปลได้หลายความหมายไม่ใช่การแก้ผ้านับเป็นการเปลือยอย่างเดียว มันก็เปลือยเรื่องของไอเดียความคิด เปลือยสมอง สำหรับเราคือเปลือยไอเดีย เปลือยความคิด เปลือยความรู้สึก เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เจาะจงว่าทุกคนจะต้องคิดอย่างนี้ๆ เพราะฉะนั้นมาดูสิ่งที่คุณอยากซึมซับไปดีกว่า” 

Mix Ponlawat

หากดูวิธีการที่เรานั่งคุยกันวันนั้นเหมือนการสอบสัมภาษณ์เสียมากกว่าการนั่งคุยกันถึงเรื่องประเด็นอ่อนไหวและน่าหลงใหลในเวลาเดียวกัน เพราะเป็นการสัมภาษณ์ทีละคนนั่งหันหน้าตรงใส่กัน ศิลปินเวียนเดินมานั่งให้สัมภาษณ์ มิกซ์-พลวัต กระแสร์เปี่ยม คือผู้ที่จะสนทนากับผมเป็นลำดับที่สอง ศิลปินภาพถ่ายที่ช่ำชองการถ่ายนู้ดและเป็นที่ยอมรับในวงการถึงสไตล์ที่เดือดไม่เหมือนใคร เอกลักษณ์ในงานภาพถ่ายของเขาเหมือนบุคลิกที่พูดน้อยต่อยหนักของเจ้าตัว ลายเซ็นในผลงาน

ผมให้ความสำคัญกับเรื่องราวในอดีตของช่างภาพเสมอ เพราะเชื่อว่าประสบการณ์คือพลังที่แท้จริงในการถ่ายทอดมุมมองของภาพถ่าย  “เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายไม่กล้าเข้าสังคม ไม่มีเพื่อน เพื่อนเห็นมีกล้องก็ชวนเราไปถ่ายพวกสาวๆ นางแบบ เขาไม่กล้าไปคนเดียว หาเพื่อนไปด้วย ไปๆ มาๆ ก็คงทำได้ดีมั้งครับ คนก็ชอบเยอะ มันก็ฝึกให้เราเข้าสังคมด้วย ทำให้เราได้ไปนู่นไปนี่ ให้เราได้ไปในที่ที่เราไม่นึกว่าจะได้ไป ได้เจอคนที่เราไม่คิดว่าจะได้เจอมากขึ้น” 

มิกซ์เล่าให้ฟังต่อว่าอันที่จริงการถ่ายภาพนู้ดคิดเป็นเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นของงานภาพถ่ายที่เขาทำอยู่ในปัจจุบัน แต่ด้วยเมื่อเวลางานภาพนู้ดถูกส่งออกมามักมีกระแสตอบรับที่ดีเสมอ จึงทำให้เขามีผู้ติดตามสไตล์การถ่ายภาพของเขาอย่างเหนียวแน่น

“เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ถ่ายแค่นู้ด ตอนเริ่มผมถ่ายจากแมวที่บ้านด้วยซ้ำ อย่างที่บอกผมไม่มีสังคม เลิกเรียนกลับบ้านฝึกถ่ายแมว หลักๆ สนุกกับการถ่ายรูปไม่ว่าเราจะถ่ายอะไร ที่เรามาจริงจังกับงานนู้ดเพราะน่าจะเป็นเพราะภาพจำที่เวลาถ่ายออกมา คนจะจำได้ว่าเราถ่าย ซิกเนเจอร์มันชัดในตัวงาน และมีความอิมแพคในตัวงานที่มากกว่างานประเภทอื่นที่เราถ่าย และมันอาจจะกระแทกแดกดันด้วยสไตล์ที่เราไม่ซ้ำใครในประเทศนี้เท่าไหร่”

มาถึงคอนเซปต์งานกับการนำภาพถ่ายมาเพนต์ทับ ด้วยสไตล์ของมิกซ์ที่ซับเจคจะเด่นชัดอยู่กลางภาพ การที่เนื้อหาหลักในภาพถูกรบกวนด้วยสีต่างๆ สำหรับเขามันเป็นเรื่องท้าทายอย่างมากในฐานะคนถ่ายภาพ และครั้งนี้เป็นครั้งแรกด้วยที่งานของเขาจะถูกแต่งเติมจินตนาการ ซึ่งมิกซ์ก็มีวิธีคัดเลือกภาพให้เหมาะแก่เพนต์เตอร์แต่ละคน 

“มีการเอาคอนเซปต์มาพัฒนางานด้วยเพราะว่าเพนต์เตอร์แต่ละคนก็มีคาแรกเตอร์ของตัวเขาเอง ก็พยายามถ่ายและคัดเลือกรูปให้แมทช์กับคาแรกเตอร์ของแต่ละคน ต้าร์ก็แนวมันๆ สนุกๆ หลุดโลกไปเลย ส่วนพี่ไผ่ก็แนวพอร์ตเทรตสวยๆ เราก็พยายามเหลือพื้นที่ให้กับนักวาดทั้งคู่ ให้มีพื้นที่ไปเล่นได้ต่อ ตัวผมก็สนุกด้วยนะที่ผมต้องมาลุ้นว่านักวาดทั้งคู่จะวาดอะไรออกมา ก็หวังว่าคนดูคงจะเอนจอยกับสิ่งใหม่นี้” 

สำหรับมิกซ์ เขามองว่า ‘นู้ด’ คือภาพถ่ายแนวทางหนึ่งเท่านั้นที่เปรียบได้เหมือนการถ่ายแนวพอร์ตเทรตหรือแลนสเคปที่เป็นเพียงรูปแบบการถ่าย ซึ่งสิ่งที่จะทำให้ภาพถ่ายพิเศษขึ้นมานั้นก็อยู่ที่ตัวศิลปินจะเล่าเรื่องอะไรและใส่อะไรเข้าไปในชิ้นงาน และอย่างยิ่งภาพนู้ดแล้วเขามองว่าการที่ไม่มีสิ่งห่อหุ้มทำให้ต้องยิ่งคิดเยอะขึ้น 

“ภาพนู้ดก็ตรงๆ เลยเป็นภาพถ่ายบุคคลที่แก้ผ้าไม่สวมใส่อาภรณ์ ส่วนนู้ดอาร์ต ก็เป็นการสื่อสารทางศิลปะ เบ่งบานไปทางความสวยงาม เป็นการตีความ การสื่อสารหรือเสียดสีต่างๆ นานา อยู่ที่ศิลปินแต่ละคนต้องการจะสื่อสาร ทุกงานถ่ายก็มีจุดประสงค์อยู่แล้วว่าต้องการให้เกิดอะไร สื่อสารเรื่องอะไรหรือให้เกิดความรู้สึกยังไง ซึ่งนู้ดหลักๆ ตัวแบบก็ต้องแก้ผ้า ที่เหลือแต่งเติมไปเรื่อยๆ นู้ดเล่าได้หมดตั้งแต่เรื่องอนาจาร จนไปถึงการเมืองและสังคมโลก” 

ความคิดสร้างสรรค์จะช่วยพาให้คนดูข้ามกำแพงเรื่องศีลธรรมได้ไหม คงเป็นคำตอบที่ไม่อาจตอบได้ในครั้งเดียว แต่สิ่งเดียวที่รู้คือมันช่วยให้คนได้รับความหมายใหม่ต่อภาพนู้ดในแง่ใดแง่นึงที่แต่ละคนจะกรองกันออกมาได้คนละแบบ มิกซ์ทิ้งท้ายถึงวิธีการชมงานนู้ดที่ใช้ได้กับทุกงาน ไม่เพียงเฉพาะงาน FLESH FRESH! 

“หลักๆ น่าจะเป็นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ แกนที่ผมมาร่วมกับต้าร์ ผมอยากจะมัน อยากจะสนุก ที่เหลือก็คนรับชมงานต้องใช้ประสบการณ์ และรสนิยมเข้าไปกระเทาะเปลือกเอาเองว่าอยากจะได้อะไร อยากจะมาเสพอะไรกลับไป ถ้าถามผม ส่วนตัวผมสนุกแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่รสนิยมและประสบการณ์ของแต่ละคนจะตกผลึกเป็นยังไง”

Sophirat Muangkum

มาถึงคิวของศิลปินหญิงคนเดียวในงานนี้กับแมท-โศภิรัตน์ ม่วงคำ หรือในนาม ‘ผู้หญิง ถือกล้อง’ เป็นที่รู้กันว่าผลงานของแมทนอกจากจะประจักษ์ด้วยความงดงามของแสงที่อาบลงบนผิวหนังมนุษย์แล้ว ประเด็นที่เป็นรากฐานในการทำงานภาพถ่ายของแมทก็น่าสนใจมากเช่นกัน ในงานนี้เธอตั้งใจเล่าประเด็นผ่านภาพ เรื่องการถูกมองในฐานะเพศหญิงของวงการศิลปะ, การแสดงจุดยืนในการสนับสนุน LGBTQ+ และการก้าวข้ามผ่านความเชื่อและสิ่งที่ศรัทธา งานนี้เธอยังอนุญาตให้ตัวเธอเองได้ปลดปล่อยพลังงานในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งเธอกระซิบบอกผมว่าปกติเธอเป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส ทั้งในแง่ของกระบวนการสร้างภาพ การติดตั้งและการจัดแสดง ทุกอย่างในงานนี้ใหม่หมดสำหรับเธอ โดยเธอให้นิยามสั้นๆ ว่า เหมือนได้ปลดปล่อยตัวเองในวัยเด็ก

“เมื่อภาพถ่ายนู้ดไม่ได้พูดถึงเรื่องเซ็กซ์เสมอไป” เรื่องนี้เป็นคอนเซปต์ใหญ่ๆ ที่ครอบประเด็นต่างๆ ที่แมทสอดแทรกไว้ในงานแต่ละเซต ซึ่งจะสัมพันธ์กับมุมมองที่เธอนิยามให้แก่คำว่า ‘นู้ด’ เพราะสำหรับเธอแล้วความรู้สึกที่เชื่อใจกันคือที่สุดของการทำงานนี้

“นู้ดสำหรับตัวเองคือการเปลือย แต่มันไม่ได้หมายถึงการเปลือยเสื้อผ้าอย่างเดียว มันเป็นในเรื่องของความรู้สึก ถ้าต่อให้คนมายืนแก้ผ้าต่อหน้าเรา แต่ถ้าเขาไม่ได้เปลือยความรู้สึกกับเรา หรือเราสองคนไม่ได้รู้สึกถึงกัน สำหรับเราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันคือการเปลือย แต่ถ้าอย่างบางคน ภาพๆนึง เราถ่ายเฉพาะหน้าของเขาที่ไม่มีสิ่งใดมาปกปิดเราก็ถือว่าเปลือยเหมือนกันนะ ถ้าเราสามารถปฏิสัมพันธ์กับเขาได้จากทางสายตา ทางอารมณ์ เราเป็นคนที่ต้องรู้สึกเชื่อมกับแบบก่อน เราถึงจะทำงาน มันเหมือนกับเป็นอารมณ์ร่วม คืออย่างการเปลือยมันไม่ได้หมายถึงว่า ถอดแค่เสื้อผ้า อันนั้นเราจะรู้สึกว่าเน็คเค็ด (naked) เป็นคนที่แก้ผ้าเฉยๆ แต่ถ้าเปลือยของเรา ‘นู้ด’ มันแปลว่าไม่มีอะไรปกปิดจนไปถึงจิตวิญญาณของเขา อย่างบางคนถอดเสื้อผ้าแล้วแต่เขายังรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะเป็นแบบให้เรา เราก็จะถามแบบว่าพักก่อนไหมคะ เพราะเราก็รับรู้ได้เหมือนกันว่าเขาไม่สบายใจ คือถ้าแบบไม่สบายใจ ก็จะส่งผลต่อรูปที่ออกมา” 

ตามที่เกริ่นไปงานของแมทอัดแน่นไปด้วยประเด็นที่จริงจัง ในส่วนของการจัดแสดงเธอนำเสนอผลงานทั้งหมด 3 เซตด้วยกันผ่านการร้อยเรียงเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ การสร้างพื้นที่ให้คนทุกกลุ่มได้ยืนอย่างสง่างามในสังคมและการท้าทายชุดความเชื่อบางอย่างผ่านปัจเจก ซึ่งเธอบอกกับเราอีกว่า “การจัดแสดงครั้งนี้เราไม่ได้พูดในฐานะศิลปินหญิงเราพูดในฐานะเพศหญิงในสังคมศิลปะ”

Earth Goddess พลังหญิง 

“ในงานนู้ด ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็จะถูกมองว่าเป็นวัตถุทางเพศ เราก็เลยอยากทำงานแรงๆ สักงานนึง เราอยากบอกว่าเพศหญิงไม่ได้เป็นวัตถุทางเพศแต่เพศหญิงเป็นซับเจค เพศหญิงคือประเด็นที่ทำให้ทุกคนพูดถึง โดยปกติแล้ว อย่างภาพ M-Leg ในการถ่ายนู้ด ถือว่าเป็นอนาจารได้เลย ซึ่งปกติเราจะไม่ถ่าย แต่แรงบันดาลใจอันนี้มันมาจากเพลง Run the world? (Girls) โอเค ถ้าเราจะอ้าขา เราไม่ได้อ้าขาเพราะว่าให้ผู้ชายมาสนใจหรือเป็นวัตถุทางเพศ แต่เรารู้ว่าการอ้าขาของเรามันมีพลัง ฉะนั้นเราอยากทำอะไรเพื่อตัวเราเอง เรามองเพศหญิงเป็นเพศที่ให้กำเนิด เราอยากให้มองเห็นถึงคุณค่าและการเคารพ” 

Rainbowtopia ดินแดนแห่งความเท่าเทียม

งานชิ้นนี้ถือเป็นไฮไลท์ของแมทใน FLESH FRESH! เพราะสถานที่ในภาพคือพื้นที่เดียวกับจุดที่จัดแสดงชิ้นงาน ซึ่งแมทบอกกับเราว่ามันเป็นความพิเศษขั้นสุดในฐานะคนทำงานที่ได้แสดงออกร่วมกับพื้นที่จริง 

“ด้วยความที่เพื่อนรอบตัวเราจะเป็น LGBTQ+ หมดเลย และทุกครั้งที่เราได้มีโอกาสแสดงงาน เราอยากสื่อในสิ่งที่เราสนใจตอนนี้ว่าเราสนใจเรื่องอะไร เฟมินิสต์ เพศหญิงในวงการศิลปะ เรื่องการสนับสนุนสิทธิร่างกายของ LGBTQ+ เพราะว่านายแบบที่เราโดนจับเพราะ Onlyfans แล้วเขาก็รู้สึกแย่เนอะ แต่สำหรับเรา เราจะเป็นคนที่รู้สึกว่าศิลปะหรือการแสดงงานนิทรรศการ มันจะเป็นสื่อกลางที่ซัพพอร์ตใครสักคนหนึ่งได้ คุณอาจจะเป็นเซ็กซ์ครีเอเตอร์ หรือ เซ็กซ์เวิร์คเกอร์ ในสังคมทั่วไปอาจจะมองพวกเขาว่าไม่ดี หรือแม้กระทั่งผิดกฎหมาย แต่เรารู้สึกว่าเราต้องการใช้สื่อตัวนี้ เพื่อสนับสนุนพวกเขาว่าคุณมีคนมาถ่ายรูปกับนู้ดคุณนะ เราจึงทำเป็นธงขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ต LGBTQ+ ส่วนทั้งสองภาพ ด้านซ้ายเป็นงานของพี่ป๊อด โมเดิร์นด็อกก็จะเป็นรูปยูนิคอร์นที่กระโดด ที่ใช้ยูนิคอร์นเพราะไม่ได้ต้องการพูดตรงๆ ว่าเป็นสีรุ้งแต่ทุกคนที่เห็นยูนิคอร์น คุณจะรู้อยู่แล้วว่า คุณจะเห็นภาพสีรุ้งเองเข้ามาในหัวโดยอัตโนมัติ มันเป็นของคู่กัน ที่นี้ภาพพี่ป๊อดที่มันเป็นภาพกระโดดเพราะงานของพี่ป๊อด เป็นแนวแอ็บสแตร็ก เอ็กซ์เพรสชั่นนิสม์ เราก็รู้แล้วว่าวิถีการทำงานของเขาเป็นแบบมูฟเม้นเราก็เลือกภาพที่กระโดดให้พี่ป๊อด ส่วนพี่ไผ่จะทำงานละมุนๆ น่ารักๆ เราก็เลือกภาพที่นิ่งๆ ให้เขาไปทำ เราก็บอกเขาไปว่าภาพนี้ตั้งชื่อว่า Rainbowtopia พูดถึงการสนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ แต่หลังจากที่พี่ป๊อดทำก็เปลี่ยนชื่อว่า นายหน้าม้า ส่วนพี่ไผ่ก็ยังใช้ชื่อเดิม”  

SOPHIRAT PHOTOGRAPHY x Everyone งานทดลองท้าทายความเชื่อในตัวเอง

“ประมาณว่าเราได้ไอเดียมาจากกำแพงในนิวยอร์กที่ทุกคนเขาจะเอาภาพต่างๆ ไปแปะ อาจเป็นคนหาย ประกาศอะไรก็ได้ แล้วก็จะมีคนไปเพนต์ทับ เราได้แรงบันดาลใจจากตรงนั้น เพียงแต่เราไม่ต้องการให้งานเรามันมาแปะบนผนังเขาเลย เราอยากทำวอลล์ขึ้นมา คือทั้งหมดเราอยากทำวอลล์ขึ้นมาให้ศิลปินได้ไปทำงานต่อ พวกกระดาษที่แปะเป็นกระดาษซีร็อกซ์ปกติทั่วไปเลยแล้วก็แปะไว้ อันนี้เราก็คิดว่าจะให้ทุกคนมาลองด้วยเป็นงาน interactive art (ศิลปะปฏิสัมพันธ์) คุณสามารถเพนต์กับงานฉันได้เลย แล้วก็อันนี้พูดถึงความเชื่อ เพราะภาพเต็มๆ ของมันเป็นการทำชิบาริ แล้วตรึงคล้ายกับไม้กางเขนอ่ะค่ะ ซึ่งเราชอบเล่นกับความรู้สึกของคนบางอย่าง ถ้าคุณเคารพคุณจะกล้าไปแตะรึเปล่า เราก็ลองดูว่าคนจะกล้าแตะมั้ย แต่พอทุกคนทำคุณจะไม่ทำหรอ? ใช่ไหม? เราเป็นคนชอบเล่นอะไรแบบนี้”

ส่วนตัวที่ได้เห็นงานชิ้นนี้ครั้งแรกแบบไม่ทันสังเกตนึกว่าเป็นภาพใบเดียว แต่พอดูใกล้ๆ แล้วทั้งหมดเป็นการนำภาพเล็กๆ มาต่อกัน “อันนี้จริงๆ คือเป็นการอิมโพรไวส์ (improvise) เหมือนกัน เราทำให้มันต่อกันเพียงแต่ว่าพอมันต่อกันมันจะไม่เห็นตัวไม้ แล้วมันก็จะดูเรียบร้อยมาก แล้วเราก็เป็นพวกเพอร์เฟคชั่นนิสเบาๆ ห่างสองมิลลิเมตร ก็ไม่ได้ ทีนี้ทำยังไงดีให้มันดูแบบไม่ตั้งใจ เราเลยใช้วิธีสลับเป็นพัซเซิล (puzzle) ไป แต่ถึงเป็นพัซเซิลพอมันเต็มก็ยังดูเรียบร้อยอยู่ดี ก็เลยเลือกที่ปล่อยช่องโหว่ของภาพเอาไว้ ให้เห็นไม้อัดที่เราเอามาทาสีเพื่อเลียนแบบผนัง งานนี้เราแพลนจะไปจัดแสดงหลายๆ ภาคเพื่อจะเอาผนังเนี้ยไปให้คนอื่นบอมบ์ เพราะเราก็อยากรู้ว่าคนในแต่ละภาคอยากจะสื่อสารอะไรกับเราบ้าง”

ท่ามกลางสังคมที่ใช้เส้นศีลธรรมเป็นการแบ่งความเป็นมนุษย์ การมีความรู้สึกเชิงเซ็กซ์ชวลเมื่อได้ชมภาพศิลป์บนเรือนร่างถือเป็นเรื่องที่ผิดไหม เราจำเป็นที่ต้องกักเก็บความรู้สึกนั้นไว้และพิจารณาภาพผ่านความเป็นศิลปะเพียงอย่างเดียวไหม

“เราว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ หิว โกรธ อยากมีเซ็กซ์ ด้วยความที่เราไม่สามารถที่จะจำกัดความคิดของทุกคนได้ เพียงแต่ว่าเราเชื่อว่าถ้าเราทำงานที่มีกรอบมีคอนเซปต์ชัดเจนขึ้น เราอาจจะพาเขาไปในอีกมุมนึงที่เขาอาจจะไม่เคยเห็นก็ได้ แต่เราไม่สามารถไปบอกเขาว่าดูภาพฉันเป็นศิลปะเท่านั้น เธอคิดแบบนี้ไม่ได้ เราต้องปล่อยให้งานของเราทำงานด้วยตัวมันเอง แล้วอีกอย่างนึงคนเราไม่ได้เรียนมาเหมือนกัน คนจบศิลปะในประเทศมีเพียงหยิบมือ เราจะจำกัดก็คงไม่ได้ บางคนเขาอาจจะโตมากับหนังสือนวลนาง ถ้าเขาเห็น เขารู้สึกก็ต้องเรื่องของเขา แต่เราไม่สามารถไปโกรธเขาได้ เพราะเราคิดว่าถ้าเขาจะรู้สึก ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเธอมาทำไม่ดีกับฉันหรือแบบของฉัน หรือแสดงออกที่มันไม่น่ารัก ถ้าเราโดนปะทะเราจะชนกลับ แต่เราไม่สามารถบอกว่าคุณต้องคิดเหมือนกัน สำคัญสุดถ้าคุณไม่อยากให้เขาคิดไกล คุณก็ควรต้องมีคอนเซปต์ครอบไว้” 

Phai Tanasan

ปิดท้ายด้วย ไผ่-ธนสาร คณะเกษม ศิลปินภาพวาดและศิลปินหนึ่งเดียวในงานนี้ที่ละเลงความละมุนท่ามกลางความดิบสุดกระแทกกระทั้นและความขบถที่ท้าทายต่อชุดความเชื่อ ความน่าสนใจของไผ่ในงานครั้งนี้คือเป็นการกลับมาจัดแสดงผลงานนู้ดครั้งแรกในรอบ 8 ปี สาเหตุที่เจ้าตัวล้มเลิกไปก่อนหน้านี้ด้วยเหตุผลเรื่องแรงเสียดทานจากสังคม แต่การกลับมาครั้งนี้ทำให้เขาได้เป็นตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะการได้มาร่วมงานกับเพื่อนศิลปินที่สนิทกันและคอนเซปต์ในเรื่องของพื้นที่ที่เปลือยเปล่าให้เขาสามารถสื่อสารเรื่องราวในใจได้อย่างตรงไปตรงมาและเขาให้นิยามการทำงานศิลปะของเขาว่าเหมือนเป็นเขียนไดอารี่หนึ่งเล่ม ซึ่งจุดนี้เป็นคีย์หลักในผลงานของเขาครั้งนี้

ไผ่นิยามคำว่า ‘นู้ด’ ค่อนข้างที่มีความอ่อนไหวในเชิงอารมณ์และเป็นเรื่องของพื้นที่ พื้นที่ที่คนๆ นึงจะยอมให้เราเข้าไป ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าเป็นการเข้าใจใครสักคนนึงอย่างไม่ตัดสิน

“นู้ดมันไปได้หลายทางมากเลย มันไปได้ทั้งทางรัก ทางเปลือยเกี่ยวกับเรื่องเพศ แต่สำหรับผมนู้ดคือการเข้าไปในพื้นที่สงวนของใครบางคน มันเหมือนเป็นการเข้าไปในจิตใจของใครบางคนในส่วนที่ไม่เคยเปิดเผย คือผมไม่ได้มองมันไปในทางเซ็กซ์ ผมมองว่าขอเข้าไปสำรวจข้างในของคุณได้ไหม นู้ดอาจจะเปรียบเหมือนจิตใจที่อยู่ข้างในของคนๆ นั้นก็ได้ครับ อันนี้ยกตัวอย่าง คุณเต้ย (ผู้เขียน) มีแฟนเก่าอาจจะเคยเห็นเขานู้ด เพราะว่าเราได้เข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน ต่อให้เราเลิกกันแล้วคนนี้คือคนที่พิเศษ เพราะเคยเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวลึกๆ ของเรา อย่างรูปตรงนี้ (ภาพหญิงสาวในอ่างน้ำและแมลงสาบ) ผมใช้เป็นโลเคชั่นนอนแช่อ่างน้ำ ผมตั้งใจให้มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของคนๆ นั้น ฉะนั้นนู้ดสำหรับผมมันเป็นพื้นที่ส่วนตัวลึกๆ ข้างใน”

อีกอย่างที่สัมผัสได้จากงานนู้ดของไผ่คือความจริงใจ ชั้นบนของนิทรรศการจะมีงานอยู่เซตนึงที่เป็นภาพโพราลอยด์ร้อยเรียงเล่าเป็นบทสนทนาระหว่างนางแบบและช่างภาพ โดยไม่มีภาพใดในนั้นที่เป็นการเปลือยเสื้อผ้าออก แต่มันกลายเป็นภาพที่พาเราเข้าไปใกล้และสัมผัสเรื่องราวในนั้นได้มากที่สุด

“เซตที่ชอบที่สุด คือเซตที่นางแบบไม่ใช่แบบนู้ดอาชีพเป็นคนธรรมดา แล้วเป็นน้องเป็นเพื่อนที่สนิทกัน ที่เชื่อใจกันในเรื่องศิลปะจนมาเป็นแบบนู้ดให้ คือวาดเก็บไว้หลายปีแล้วเขาก็ไปใช้ชีวิตผมก็ไปใช้ชีวิตไม่ได้แสดงสักที แล้วพอแมทมาชวน เซตนี้เราชอบมากเลย ผมอยากแสดงงาน ผมก็เลยโทรไปขออนุญาต ซึ่งผมก็กลัวความอ่อนไหวของสังคมที่ว่า คุณมีแฟนไหม ที่บ้านคุณจะโอเคไหม เราต้องให้เขาโอเคก่อน เพราะเขาไม่ใช่นางแบบนู้ดอาชีพ เขาบอกเขาโอเคเขาไม่มีปัญหา ผมก็เลยนัดกินข้าวคุยกันอีกรอบเพื่อนัดถ่ายโพลารอยด์ แต่ไม่ได้ถ่ายให้เห็นหน้าว่าเป็นใคร ซึ่งถ่ายชิ้นส่วนในร่างกายที่บอกตัวตนความเป็นเขา อันนี้ต่อให้ไม่แก้ผ้าก็เป็นนู้ดสำหรับผม มือเป็นยังไง รอยสักอะไร เห็นเท้า เห็นพุง พอถ่ายเสร็จก็คุยกัน ‘โอเคใช่ไหม จะไม่กระทบชีวิตการงานอะไรใช่ไหม’ แล้วบทสนทนาก็คือ ‘ถ้าพี่โอเค แฟนพี่โอเค หนูโอเค’ ไม่แคร์ใครทั้งสิ้น ผมเลยเอาบทสนทนาที่คุยกันมาเขียนทับบนโพลารอยด์ ผมว่ามันโยงกับรอยสักเขา ‘อัตตา หิ อัตตโน นาโถ คือตนเป็นที่พึ่งของตน’ อันนี้มันก็บอกถึงความคิดและพื้นที่ส่วนตัวถึงความเชื่อของเขาว่า ในเมื่อเขามองมันเป็นอาร์ตใครคิดไง ไม่สน”

ผู้ชายคนนี้ยังแผ่ความจริงใจให้กับผมอย่างไม่ลดละ เพราะเจ้าตัวได้ทำงานชิ้นหนึ่งที่สื่อสารเจตนารมณ์ของตัวเองที่ซื่อสัตย์ต่อศิลปะอย่างแท้จริง “มันจะมีภาพวาดใส่กรอบชิ้นเล็กๆ ซึ่งแบบคือคิวเรเตอร์ และคิวเรเตอร์เป็นแฟนผม เราคิดว่าเราเอานางแบบมาวาดแล้วแขวนได้ เราก็ควรแขวนรูปเราได้ ในเมื่อคุณเป็นคิวเรเตอร์งานนู้ด คุณควรนู้ดได้ ผมก็เลยวาดรูปแฟนผมมาแขวนเพื่อแสดงว่าเราไม่ได้มองว่านู้ดเป็นแค่เรื่องเพศหรือเรื่องเซ็กซ์ ดูงานแล้วต้องปลุกอารมณ์ แต่มันก็คือการเข้าไปสำรวจถึงข้างใน” 

สัญญะคือกิมมิคอย่างหนึ่งในผลงานของไผ่ ความโรแมนติกของเขานับว่าจัดจ้านที่สุดในนิทรรศการครั้งนี้ 

“ในงานจะมีงานผมหลายชิ้นที่มีมงกุฎแสดงถึงว่าเราให้เกียรติเขาเป็นความพิเศษของเรา มันก็จะมีสัญญะเล็กๆ น้อยๆ อย่างผีเสื้อ ถ้าตามความหมายของฝรั่ง ผีเสื้อหลายตัวจะเป็นสัญลักษณ์ของความตาย ผีเสื้อตัวเดียวคือวิญญาณและความคิดถึง ที่นี้ผมรู้สึกว่าผมใช้นางแบบที่เป็นคนรู้จัก เหมือนพวกศิลปินโบราณ ผมก็ใส่ผีเสื้อเข้าไปแทนตัวผม ผีเสื้อมันมีเรื่องความสวยงามแต่เปราะบาง ผมรู้สึกว่าถ้าวันนึง รูปผมไปติดที่บ้านใครแล้วเห็นผีเสื้อในงาน ผมอาจจะตายไปแล้วก็ได้ แต่ผีเสื้อในภาพคือวิญญาณของผมนะ” 

เช่นเดียวกับในงานที่ทำร่วมกับศิลปินช่างภาพทั้งแมทและมิกซ์ ที่ในส่วนของแมทเขาได้หยิบผลงานอมตะของศิลปินเอกของโลกในอดีตมาตีความใหม่เพื่อแสดงถึงความเท่าเทียมทางเพศในสังคมตามที่แมทตั้งใจสื่อไว้ในภาพถ่าย “อย่างของแมท แมทบอกว่าเซตนี้อยากเล่าเรื่อง LGBTQ+ แล้วผมก็พยายามตีความหัวม้า ถ้าดูที่รายละเอียดงานดีๆ มันจะรายละเอียดงานด้านหลัง ผมเขียนเป็นคำว่า ม้านาวต่างดู๊ด ตีความว่าคนที่เป็น LGBTQ+ เป็นมนุษย์ต่างดาวในสังคม แล้วก็พื้นหลังด้านหลังของฟิกเกอร์ม้า ผมวาดรูปเดอะ วิทรูเวียนแมน ของเลโอนาร์โด ดา วินชี และภาพเดอะ เบิร์ด ออฟ วีนัส ทับกันสองอันผมรู้สึกว่าถ้าภาพนี้คือมาสเตอร์ของผู้ชาย และเดอะ เบิร์ด ออฟ วีนัส ก็เป็นภาพมาสเตอร์ของผู้หญิงแล้วมันเข้ากันได้ไหม หมายถึงผู้หญิง ผู้ชาย LGBTQ+ ก็คือคนเหมือนกัน”

กลับกันงานที่ได้ทำร่วมกับมิกซ์ เขาไม่ได้แต่งเติมอะไรเข้าไปเยอะแต่กลับกลายเป็นการแสดงออกถึงตัวตนเขาเป็นอย่างมากที่สุด “ส่วนของกับมิกซ์ ผมจะไม่กล้าวาดทับงานเขาเยอะ เพราะผมเห็นต้าร์แบบใส่เยอะๆ หน่อย ผมก็เลยขอเป็นมินิมอล แล้วผมจะไม่โดนตัวซับเจค ผมจะแตะข้างๆ บางงานเป็นรูปสีส้มแล้วผมเขียนว่า here ก็คืออาร์ตของผมอยู่แค่ตรงนี้มันไม่ไปทับเขา หรืออันที่เป็นผู้หญิงนั่งอยู่บนพื้นหลัง จริงๆ มันมีสีดำเป็นร่อง ผมใช้สีขาวอุดตรงร่องหมดเลย แล้วใช้สีขาวดันให้นางแบบเด่น  มันเหมือนงานของที่ทำให้มิกซ์จะออกแนวเคารพมากกว่าเพราะส่วนตัวผมชอบงานเขา เป็นแฟนคลับเขา อันที่เป็นรูปใหญ่ผมรู้สึกเกร็งที่จะต้องวาดทับ แล้วผมก็เลยสเก็ตซ์แบบคนนี้ ซึ่งผมบอกเลยว่าผมไม่รู้จัก ผมก็จะสเก็ตซ์จากความเข้าใจผมด้วยปากกาง่ายแล้วเขียนข้างๆ ว่าอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้” 

การตั้งคำถามต่อเรื่องศีลธรรมและความเป็นมนุษย์ คือประเด็นที่ไผ่ตั้งใจมาสื่อสารกับผู้คนที่มาชมงาน ภาพหญิงสาวในอ่างน้ำและแมลงสาบ คือบททดสอบเชิงศีลธรรมที่เขาอยากให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ลองสำรวจจิตใจตัวเอง ซึ่งทุกอย่างล้วนไม่มีการตัดสินว่าคิดแบบไหนคือถูกแบบไหนคือผิด แต่คำตอบที่ได้จากกระบวนการคิดนั้นบอกว่าอดีตที่ผ่านมาคุณได้เผชิญเรื่องอะไรมาบ้างต่างหาก

“อย่างชิ้นนี้ผมอยากเล่า (ภาพหญิงสาวในอ่างน้ำและแมลงสาบ) อย่างที่ผมบอกว่าผมสนใจเรื่องพื้นที่ คือรูปนี้ไม่มีนางแบบคือผมก็เสิร์ชหารูปผู้หญิงที่อยู่ในอ่าง แล้วพอร่างโครงเสร็จเอาแบบออกแล้วก็วาดสดเลย มันก็มีเรื่องที่ผมบอกระหว่างนู้ดอาร์ตกับนู้ดอนาจาร แวบแรกคือคนจะต้องมองหัวนมก่อนเลย แล้วที่นี้ผมก็เลย เหมือนเติมจิตวิทยาเข้าไป ผมก็ใส่แมลงสาบในคอมโพสที่มันเด่นเท่ากับหัวนม แล้วก็ใช้น้ำหนักสีความเข้มให้เท่ากัน เป็นจิตวิทยาที่คนเข้ามาเห็นแมลงสาบก่อนหรือเห็นหัวนมก่อน ซึ่งจริงๆ บางคนก็เห็นหัวนมก่อนบางคนก็เห็นแมลงสาบก่อน ที่นี้ก็เลยเชื่อว่าจะอนาจารไม่อนาจารก็อยู่ที่ความคิดคน การเลือกแมลงสาบก็เป็นการตั้งคำถาม ผมเคยฟังเรื่องเล่าจากอาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา สมมติถ้าเอาเด็กผู้ชาย ผู้หญิง ทิ้งเกาะแล้วแก้ผ้าตั้งแต่เกิด แล้วเอาผ้าพันนิ้วโป้งไว้แล้วเปิดนิ้วโป้งมาจะเกิดอารมณ์ไหม คือจริงๆ คนเราเกิดอารมณ์เพราะมันออโตที่เห็นจู๋เห็นจิ๋มกันหรือเพราะมันเป็นอวัยวะที่ถูกปกปิด และผมเคยไปดูสารคดีตลกของญี่ปุ่นที่คนฮอกไกโดไม่เคยเห็นแมลงสาบเพราะอากาศหนาว คนทำสารคดีก็เอาไปให้คนฮอกไกโดดูครั้งแรกแล้วดูเอฟเฟคเหมือนครึ่งหนึ่งดูตกใจอีกครึ่งหนึ่งดูเฉยๆ ที่นี้ผมเลยตั้งคำถามว่าแมลงสาบกับนู้ด ว่าจริงๆ แล้วมนุษย์กับแมลงสาบมันตกใจกันเป็นออโตเมติกในธรรมชาติเหมือนคนเห็นจู๋กับจิ๋มแล้วมีอารมณ์เป็นธรรมชาติ หรือคนไปให้ค่ามันว่าเป็นแมลงที่สกปรกแมลงที่อยู่ในขยะ คนเลยกลัวมันรึเปล่า”

พิสูจน์อักษร : ชลดา สวนประเสริฐ