brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Jun 2025

บีม - ภากร มุสิกบุญเลิศ
The Im/permanent
เรื่อง : กษิดิ์เดช มาลีหอม
ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
25 Aug 2022

เมื่อแรกที่ได้ยินจากธันวา ช่างภาพประจำแห่ง D1839 ว่าจะต้องไปสัมภาษณ์มือเบส วง Siam Secret Service เมโลดี้เพลง ‘แค่นั้น’ ก็ลอยมา ผมถึงกับหักพวงมาลัยเลี้ยวลงวันคืนเก่าๆ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้เหมือนกันว่าสิ่งนึงที่ บีม-ภากร มุสิกบุญเลิศ รักนอกจากการทำงานเพลงประกอบภาพยนตร์ คือ การถ่ายภาพ

นิทรรศการ The Im/permanent การจัดแสดงชุดภาพพอร์ตเทรตดอกไม้ เพื่อเล่าถึงการดำรงอยู่ของชีวิตผ่านสัจธรรมเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ภาพบนผนังทั้งสีและขาวดำต่างประสานเสียงกันเป็นวงวัฏจักรให้เราได้พิจารณาถึงการตั้งอยู่และดับไปของชีวิต ด้วยอิริยาบถต่างๆ ที่ดอกไม้ได้เปิดเผยสัณฐานในแต่ละวาระ 

เรานัดหมายกันที่ Woof Pack สถานที่จัดงานของเจ้าตัว ผมเดินทางไปถึงก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อจะเดินทอดน่องเสพผลงานละลายอารมณ์และความรู้สึกที่เจอมาก่อนหน้านี้ ปรับตัวเองให้อยู่กับปัจจุบัน ระหว่างที่ชมผลงานมีเสียงเพลงคลอเคลียตลอดทางไม่ว่าจะเป็น David Bowie, Lou Reed และ The Velvet Underground ซึ่งก็มารู้ที่หลังว่าเจ้าตัวเป็นคนทำเพลย์ลิสต์การกระทำความ ‘70s นี้ด้วยตัวเอง หลังจากใช้เวลาทำความเข้าใจตัวตนและประเด็นผ่านภาพถ่าย ก้มมองนาฬิกาอีกรอบหนึ่งก็ถึงเวลานัดหมาย

การโคจร

ไม่ใช่เพียงแค่ผมแน่ คิดว่าใครหลายคนก็คงอยากรู้ว่าเขาคนนี้จากที่นั่งทำดนตรีอยู่ในสตูดิโอ ได้มามีโอกาสจับกล้องเป็นจริงเป็นจังตอนไหน ยิ่งกว่านั้นนิทรรศการนี้ก็ถือเป็นนิทรรศการเดี่ยวครั้งที่สองของเขาด้วย ผมจึงขอให้เขาอารัมภบทถึงตัวเองตั้งแต่ที่จำความได้เกี่ยวกับความหลงใหลในการถ่ายรูป 

“เราเรียนนิเทศที่เอแบคก่อนปีค.ศ. 1994 แต่เรียนเทอมเดียว แล้วมีวิชาโฟโต้ ข้อดีคือเราสามารถเอาเทปเพลงไปเปิดอยู่ในห้องมืดนานๆ ได้ อัดรูปแล้วอารมณ์แบบกูต้องไปให้ถึงคนแรกได้ สมัยก่อนการถือกล้องมันไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ เพราะถ้าไม่ถือกล้องก็จะไม่มีภาพเลยในปีค.ศ. 1995-1996 คือแค่นั้นเอง เหมือนเราอยากมีรูปเก็บไว้ ออกจากบ้านเอาโทรศัพท์ออกมา ตอนนั้นมีกล้องตัวนึงไปไหนก็สะพายไป ถ่ายๆ ไป ถ่ายเยอะมาก ตอนนั้นจะไปเรียนโฟโต้ด้วยที่อังกฤษ แต่ก็ทำเพลงก่อน เริ่มโปรดิวซ์ทำอัลบั้ม Siam Secret Service แล้วก็ไปอเมริกาเรียนซาวด์เอ็นจิเนียร์และธุรกิจบันเทิง แล้วกลับมาทำเพลงต่อ ทำอพาร์ทเมนต์คุณป้า ทำกับบุรินทร์ ทำหลายวง แล้วก็ทำเพลงประกอบหนัง ทำเรื่อง Fake (2003) แล้วก็ จ.เจี๊ยว จ๊าว (2003) ของพี่ปูนและพี่ๆ น้องๆ นักดนตรีที่อยู่ในวงการภาพยนตร์ เราก็ยุ่งอยู่กับงานเพลงเลยไม่ได้ทำอะไรต่อ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ถ่ายรูปเลย จนเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว มีเพื่อนชวนทำสารคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

“ตอนเข้าไปด้วยกันก็เห็นทุกคนสะพายกล้อง คนนี้สะพาย Leica คนนั้นก็สะพาย Leica เราก็ถูกห้อมล้อมด้วยอะไรพวกนี้ ตอนนั้นเรารับผิดชอบทำโปรดิวซ์ เราก็อยู่กับแสง อยู่กับเวลา อยู่กับจังหวะอยู่ตลอด ต้องตื่นมาเช็คว่าแสงจะมาเมื่อไหร่ไปถึงเย็นก็ดูเข็มทิศ เดี๋ยวพรุ่งนี้พระจะบิณฑบาตตรงนี้ เราต้องไปดักตรงนี้ มันก็คืออยู่ในใจตลอด แล้วก็โอกาสมันน้อย บางทีเราไม่ได้ไปที่ที่มันป๊อปมาก พระมีเวลาแค่วันเดียวในที่ที่คนไม่รู้ กลายเป็นว่าการสังเกตเรื่องของภาพถ่าย หมายความว่า การสแนปช็อตภาพ มันต้องค่อนข้าง decisive ต้องคมมากประมาณนึง หลายงานมันมีแค่รอบเดียว งานพิธีจะมีแค่รอบเดียว เพราะฉะนั้นต้องคุยเรื่องนี้กับพวกเขาตลอดเลย” ฟังแล้วก็คิดตามว่าบางทีกฎแรงดึงดูดที่ให้คนที่สนใจสิ่งเดียวกันโคจรมาเจอกันจนได้

“ตอนเรียนที่อเมริกาเราซื้อกล้อง Canon Powershot พกไปถ่ายรูปเพื่อน ถ่ายรูปเครื่องมือตอนที่เรียนซาวด์เอ็นจิเนียร์ ซึ่งอุปกรณ์เครื่องมือเยอะมาก ถ่ายๆ เก็บไว้ รู้สึกว่าดูรูปมันก็เป็นแค่การบันทึกเท่านั้นเอง มันไม่ได้รู้สึกแบบตอนที่เรียนโฟโต้ โห…ตอนนั้นมันสนุกอ่ะที่ต้องเข้าห้องมืด” แววตากับน้ำเสียงของเขาทำให้เรามองเห็นความสนุกที่เขาเพิ่งพูดไปได้จริงๆ

“เราจำได้ตอนที่เราถ่ายฟิล์มมันก็มีแต่ฟิล์ม เราก็ถามเขาว่า ‘เฮ้ยสมัยนี้…’ ถามแบบตาลุงมากเลยนะ ‘สมัยนี้กล้องดิจิตอลรูปมันสวยเหมือนรูปกล้องฟิล์มหรือยังนะ’ น้องตอบ ‘เดี๋ยวนี้ฟิล์มเขามีแลปด้วยนะ กล้องฟิล์มถูกด้วย เดี๋ยวนี้ราคาไม่แพง’ (พวกนั้นก็หิ้ว Leica M6 ห้อย Rolleiflex อยู่ในป่ากันอย่างนั้น) เราก็ ‘เหรอ…รูปเป็นยังไงนะ เฮ้ย…รูปดี’ เรายืนอยู่ตรงนั้น ถ่ายโพ๊ะ…แล้วก็ล้างเสร็จส่งมาให้อ่ะ เห็นรูปแล้วแบบถามราคาเลย ‘เท่าไหร่นะ’ เราได้กล้องฟิล์มตัวแรก เป็น Canon7 หนักมาก แต่ก็ดีนะ นี่นึกถึงยังคิดถึงเลย คือมันหนักแบบ brass ไงมันบรื๊ดๆ” (ทำท่าขึ้นฟิล์มประกอบ) 

 

สร้างสิ่งที่ไม่มีให้มี

“ตอนถ่ายรูปฟิล์มชุดแรกๆ ออกมารู้สึกแบบคาใจ คาใจมาก อะไรที่ทำให้เราพลาด ก็ฝึกไปเรื่อยๆ เราเป็นคนชอบฝึก ตอนซ้อมดนตรี กูไม่เก่งอะ ซ้อมแม่งวันละ 8 ชั่วโมง กินข้าวเสร็จซ้อม ซ้อมมีตารางชัดเจน อย่างวันนี้เราถ่ายรูปก็มีตารางชัดเจนมาก พอมันเริ่มคลิก วันนี้เราจะเล่าเรื่องอะไร มันเหมือนทำงาน เพราะเราทำโปรดิวซ์ด้วยตลอดเวลาเนอะ เราเห็นสิ่งนี้เราจะเก็บมาแสดงยังไง จะเอาเขาไปอยู่ในเพลงยังไง เห็นคนเล่นกีต้าร์จะเอาคนมาอยู่กับมือกลองมือเบสยังไง เรารู้สึกว่าวิธีของเรา คืออาชีพที่สร้างสิ่งที่มันไม่มีให้มันมีด้วยการที่ได้ยินเสียง สมมติวงนี้ส่งเดโมมาให้เรา เราต้องนึกแล้วว่าต้องอัดเสียงยังไงใช้สตูดิโอไหน วงนี้เหมาะกับสตูดิโอไหน โตมาด้วยการต้องประกอบร่างทุกอย่าง จาก input จนถึง output แล้วใช้เครื่องมือแค่เป็นสะพานเล่าเรื่องแล้วก็ออกมาที่งาน” 

เมื่อทั้งคนและกล้องต่างหากันจนเจอ ความน่าสนใจต่อคือในฐานะนักประพันธ์เพลงหรือคนทำดนตรีที่มีประสบการณ์มาหลายปีนั้นมองว่าการฝึกซ้อมและตีสนิทกับเครื่องมือที่ใช้สร้างงานให้ได้มากที่สุดคือบันไดที่จะส่งให้เราไปต่อยอดงานศิลปะได้ “เริ่มมาจับกล้องใช้เป็นเครื่องมือจริงๆ ห้าปี แต่เราเป็นคนเรียน technical school เราเรียนซาว์ดเอ็นจิเนียร์ คือเรียนบันทึกเสียง บันทึกเสียงคือการ capture performance ลงไปในแมกเนติกเทปหรือเทปรีล นั่นคือหลักการของมัน หลังจากนั้นก็เอามาใส่คอมพิวเตอร์เพื่อตัดต่อ ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อเอาเสียงจากนักดนตรีสู่ไมโครโฟนเข้าเทปเข้าคอม ออกมาผสมเสียงส่งให้คนฟัง คือทำงานอย่างนี้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1997 ทำงานแต่เด็ก 

“ที่นั่นเขาสอน know your gears แค่นั้นเอง โรงเรียนซาว์ดเอ็นจิเนียร์ที่อเมริกาเขาจะไม่สอนศิลปะเลย art is your things มันไม่เกี่ยวที่ว่าถ่ายแบบนี้สวยหรือว่าต้องบันทึกเสียงแบบนี้ถึงดีที่สุด อย่างหัวไมโครโฟนกับเลนส์กล้อง นึกภาพลำโพงอยู่นี่ใช่ไหม จัดอย่างนี้เสียงนึง ตรงนี้เสียงนึง ห่างฟุต จ่อหลังตู้ เรารู้สึกว่ามันคล้ายกันนะ เราเรียนรู้ด้วยวิธี active learning ของเรา” 

เริงระบำสัณฐาน

ที่มาของ capture performance คำที่บีมได้ใช้อธิบายเราถึงการทำเพลงและการถ่ายภาพของเขา ซึ่งเขาได้มุมมองมาจากการแสดงนาฏกรรมอย่างการเล่นโขน ซึ่ง capture performance หากจะทำความเข้าใจโดยง่าย ถ้าเป็นด้านดนตรี อาจคือการจับจังหวะ หากเป็นภาพถ่ายคือการจับท่าทาง “ถ้าเรามองว่าวัตถุ เขากำลังแสดงกับเราอยู่ อย่างรูปดอกไม้เราหลายรูป เราทำงานกับ calligraphr ด้วย ก่อนหน้านี้เราทำงานหนังสือ Miscellany of khon ของพี่โอ๋-จิตติ ชมพี ที่ทำเป็นการตีความของโขน เราอยู่กับเขาก็ได้ดูมาเยอะ แล้วเราก็ชอบ calligraph หลายๆ รูป เหมือนเรากำลังแคปเจอร์ท่าทางของเขาอยู่ เราชอบคิดอย่างนี้ เหมือนเราทำเพลงเราก็ต้องจับจังหวะของเขา”  

เหมือนว่าเรากำลังมองสิ่งของนั้นไม่ใช่สิ่งหยุดนิ่ง มันอาจจะอยู่นิ่งแต่จริงๆ แล้วมันมีการแสดงท่าทางของมันอยู่ ผมถามต่อ “ใช่ เหมือนดอกไม้ในงานนี้ เราเลี้ยงเองหมด มันไม่เคยอยู่นิ่ง เราไม่ได้ซื้อตัดปัก กลับมาเลี้ยงต้นไม้ของตัวเองประมาณสี่ปี เรารู้สึกว่าต้นไม้ไม่เคยหยุด ไม่เคยหยุดจะทำงาน ไม่เคยหยุดจะมีชีวิต ไม่เคยหยุดจะแพร่พันธุ์ เราก็เลยรู้สึกว่าต้นไม้มันไม่ใช่ของที่หยุดนิ่งอยู่แล้ว มันจะมีรูปที่เป็นดอกว่านจงอาง สองรูปนี้ไม่เกินสามชั่วโมงต่างกันแล้ว แต่เขาจะขยับช้าๆ ค่อยๆ ทิ้งลงเพื่อที่จะเรียกแมลงนั่นคือหน้าที่เขา ตัวหุ้มเกสรลดลง วันนั้นถ่ายกันถึงห้าทุ่มมั้ง ทรวดทรงมันสวยดี ก็เลยอยากจะเล่า คืนที่เขาบานเต็มที่มันสวยมากสำหรับเรา มันคือการจับท่าทาง บันทึกสิ่งที่เขาเป็น”

บทสนทนาของดนตรี ดอกไม้ และภาพถ่าย 

“ตอนอายุ 20 เราไม่สบายมากอยู่ที่บ้าน แม่ไม่รู้ทำไงอยากจะช่วย แม่เอากล้วยไม้รองเท้านารีเหลืองอุดรมาให้ เราก็นั่งมอง คาใจมาก แบบชอบอะ มันฝังใจตอนนั้นเราไม่สบายนอนอยู่บ้านเป็นเดือน แล้วแม่ก็ซื้อมาให้ เราเบลอจำได้ประมาณนี้ เรากลับมาเลี้ยงต้นไม้ใหม่ อย่างแรกที่ซื้อมาเลยกล้วยไม้รองเท้านารี ซื้อแล้วเอากลับบ้านถามแม่ แม่เคยซื้อมาให้จำได้ป่ะ แม่จำได้นิดหน่อย แต่มันก็เป็นจิตใต้สำนึกอ่ะ อาจจะใช่หรือไม่ก็ได้ ทรงมันจะเป็นกลมๆ ดอกเดียวเดี่ยวกลมๆ เฟมินีนมากๆ ดูนุ่มนวลน่ารัก จริงๆ พ่อแม่เราปลูกดอกไม้มาอยู่แล้ว พ่อเนี่ยบ้าดอกไม้มาก เราโตมากับดอกไม้ทั้งบ้านเลย แต่ตอนเด็กๆ เกลียดมากเลย แมนๆ เฮ้ยไม่ชอบว่ะ แล้วพ่อชอบดอกไม้สีชมพูอีก” เขาย้อนความทรงจำที่เป็นภาพพร่าเลือนแต่ชัดเจนในความรู้สึกให้เราฟังถึงช่วงเวลาประทับใจแรกของเขากับดอกไม้

เขากล่าวต่อถึงจุดเริ่มบทสนทนาของดนตรี ดอกไม้ และภาพถ่ายที่แท้จริงแล้วมีต้นทางจากการทำเพลงประกอบภาพยนตร์ “คือเราทำเพลงประกอบภาพยนตร์ตั้งแต่เด็กๆ แล้วอ่ะ อายุ 19-20 คือมันเป็นการตีความภาพสู่ดนตรี ทุกวันนี้เวลาถ่ายรูปหัวก็จะคิดเป็นเพลงนิดนึง ก็จะเห็น มันเป็นอาชีพ มันก็ต้องทำแบบนี้ ล่าสุดเราทำหนังเรื่อง Anatomy of time (2021) อันนั้นเขียนเพลงจากสคริปส์ซะเยอะ อ่านสคริปส์แล้วก็ตีความเขียนเพลง แต่ว่ามันจะกระบวนการแบบนี้เหมือนกันว่า ตอนเราจะอยากเขียนเพลงหนัง หลังๆ พอถ่ายรูปอนาล็อก ความรู้สึกเหมือนแบบเราต้องมีไอเดียชัดเจนมากๆ ต่อสิ่งที่จะทำ เราเขียนเพลงสกอร์หนังทั้งเรื่อง โดยใช้อนาล็อกซินธิไซเซอร์ มีเพลงเดียวเท่านั้นที่ไม่ใช่ เพราะกลัวโควิด ไม่กล้าเข้าสตูดิโอ ที่เหลือเป็นโมดูลาร์ซิน มันนึกไม่ได้ มันเหมือนต้องเริ่มเขียนจากตอนนั้นเลย เหมือนว่าจะต้องเริ่มเล่าเรื่องอะไร เสียงไหน ลักษณะไหน ใครคุยกับใคร สายนี้จิ้มสายนี้เป็นเสียงนั้น เสียบเยอะๆ เราได้เขียนเพลงจากการถ่ายรูป”

ถามชวนเขาคุยต่อถึงตอนที่ทำสกอร์ให้เรื่อง Anatomy of time ว่ามีส่วนที่ทับซ้อนกับโปรเจกต์ภาพถ่ายนี้ด้วยไหม ทั้งในเรื่องของช่วงเวลาและแก่นของงาน “มีหมดเลย เก่ง-จักรวาล นิลธำรงค์ เรารู้จักกับเก่งมานานแล้ว คือเราคุยกัน เราเคยทำเพลงประกอบให้เขาเรื่องนึงก่อนชื่อ Vanishing Point (2015) เขาซื้อคอนเซ็ปต์​ว่า เฮ้ย…เก่งเราไม่โปรแกรมนะเว้ย เราจะเล่นสด เราจะเล่นสดทั้งเรื่อง อนาล็อกซินซัดกันแบบมันสนุกมาก เขาก็ชอบเรื่องการ capture performance แล้วก็ได้คุยเรื่องสัจธรรมเยอะ ก็เป็นเรื่องคอนเซ็ปต์ของเวลา เพราะว่าจริงๆ สิ่งที่แสดงความ Im/permanent ของสิ่งต่างๆ เชื่อมกับเวลาทั้งหมด

“ไดอะล็อกเราจะเข้าใจว่าภาพเป็นเสียง เสียงเป็นภาพ อยู่อย่างนี้ เห็นภาพปุ๊ปต้องเขียนเพลงได้ มันเป็นอาชีพ ต้องแปลงภาพเป็นเสียงมา 25 ปี เริ่มปีค.ศ. 1997 ก็เลยรู้สึกว่าถ่ายรูปช่วงแรกก็จะติดวัดแสงผิด ใช้เครื่องมือไม่คล่อง โฟกัสหลุด มือไม่นิ่ง ก็เรียนเครื่องมือไป ใช้ซ้ำๆ ไป เป็นคนทำซ้ำๆ แล้วพอเริ่มเล่าได้แล้ว ตอนนิทรรศการแรก รู้สึกว่าคนรอบตัวเขาอยากให้ทำ แต่เราทำไม่ค่อยเป็นหรอก ต้องมีรูปสถานที่ที่ไป ความทรงจำต่างๆ มีรูปเกี่ยวกับพ่อ เรื่องครอบครัวเยอะ เรื่องพระพุทธศาสนา ซึ่งคราวนี้มันก็ชัดขึ้น ตอนโควิดเสี้ยนมากอยากถ่ายพอร์ตเทรตแต่ไม่อยากเจอคน เลยเอาดอกไม้มาถ่ายด้วย เพราะเราก็ถ่ายดอกไม้อยู่แล้ว เราก็มีไฟ มีดอกไม้ มีเซตอยู่แล้ว ทุกอย่างมันจิ๋วมาก size to scale ก็เลยเริ่มถ่ายพอร์ตเทรตดอกไม้ดู เออ ชอบ ยิ่งมาโครเข้าไปใกล้มันตื่นเต้น เราไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไรนะ แต่เราตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นแบบ โห คืองี้เลยหรอ เขากำลังแสดงตัวให้เราเห็น เขากำลังแสดงเนื้อ ผิว เกสร พอโดนไฟแล้วมีกลิตเตอร์ขึ้นมาอีกเอาไว้ล่อแมลง เรื่องชีววิทยาด้วย เรื่องความสวยงาม จังหวะของดอก จังหวะของเส้น มันเป็นความตื่นเต้นมากการถ่ายรูปดอกไม้เนี่ย เหมือนคนบ้าอยู่บ้านเดินส่องๆ” 

ถึงตรงนี้ผมพอเห็นภาพทั้งหมด ดอกไม้คือตัวแทนความทรงจำและชีวิต ดนตรีและภาพถ่ายคือเครื่องมือที่เขาใช้มันสลับไปมาได้อย่างถนัดในการเล่าเรื่อง และสาเหตุส่วนตัวที่ทำให้เขานั้นโปรดปรานภาพพอร์ตเทรต นั่นเป็นเพราะมันคือยุคสมัยที่เขาเติบโตมา “เพราะว่าเป็นนักดนตรี โตมากับภาพศิลปินเท่ๆ มันชอบอะ เราชอบงานของ Anton Corbijn มาก เขาถ่าย Depeche Mode, Nick Cave ใช้ Hasselblad ด้วย เพิ่งมีหนังสือรวมเล่มออกมา เราโตมากับปกเทป U2 อัลบั้ม The Joshua Tree อัลบั้ม Achtung Baby ปกเทปคือสวยมาก Achtung Baby คือสวยมากๆ คือ U2 อยู่ท่ามกลางในงานคาร์นิวัลที่บราซิลแล้วคนข้างๆ แต่งตัวสีสันจัดๆ โห…เท่มาก จริงๆ ในยุคนั้นใครชอบดนตรี จะชอบงานภาพพอร์ตเทรต เราซื้อหนังสือมาเพราะเราแต่งตัวตามแม็กกาซีนนะ แล้วเราต้องรู้ อย่างตอน Nirvana ออกมาปุ๊ปลงปก Rolling Stone เสาร์อาทิตย์จตุจักรมีกางเกงลูกฟูก กางเกงยีนส์เต็มเลย ป๊อปปูล่าร์คัลเจอร์มันเคลื่อนแบบนั้น มันเป็นเรื่องของการสร้างตัวตนกับฮีโร่หรือบุคคลเยอะ และเราโตมากับยุคซุปเปอร์โมเดลอย่าง Kate Moss และ Christy Turlington อะไรอย่างงี้ ก็เป็นเรื่องของพอร์ตเทรตทั้งนั้นเลย ซื้อแม็กกาซีน The Face ข้างในก็จะมีแบบพอร์ตเทรตทั้งนั้นเลยทำไมคนเขาเท่จัง ช่างภาพคนนี้ถ่ายคนแล้วเท๊เท่” 

เกิด แก่ เจ็บ ตาย

The Im/permanent หากแปลตามตัว คงมองได้ว่าเป็นเรื่องความไม่ยั่งยืนถาวร แต่บีมตั้งใจเล่นเรื่องความอยากของมนุษย์ที่มักจะเก็บสิ่งที่รักไว้ข้างตัวตลอดไป “จริงๆ  Im มันเหมือน I am แต่พอมารวมมันเป็น The Impermanent คือคนชอบคิดว่าเราจะรักกันตลอดไป รถคันนี้จะอยู่กับเราตลอดไป มันก็จะต้องอยู่กับไปชั่วกัปชั่วกัลป์” 

ไม่ว่าจะเทศกาลหรืองานมงคล คำอวยพรขอให้เกิดแต่สิ่งดีๆ และมั่นคง ถือเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ได้รับ ซึ่งพอได้มามองผ่านผลงานชุดนี้ คำถามว่าด้วยสัจธรรมของชีวิตก็ขึ้นมาอัตโนมัติ โดยเฉพาะเมื่อมองผ่านช่วงเวลาของดอกไม้ “เราต้องบอกแบ็กกราวนด์ว่าเราปฏิบัติธรรมเยอะ คือปฏิบัตินะ ไม่ได้เชื่อเยอะ ไปดูให้รู้  ทำเยอะๆ ไม่ได้สวดมนต์เยอะ แต่ว่าดูใจ สนใจเรื่องธรรมมะเพราะว่าแก่แล้วด้วยไง เพื่อนตาย พ่อตาย ความพลัดพรากมันมาหาเราเยอะมาก คืองานนี้ไม่ต้องมาบอกเป็นคอนเซ็ปต์ว่าเดี๋ยวเราก็ต้องตาย มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ ทุกคนมันรู้ในใจที่สุดอยู่แล้ว หมายถึงว่ามันจริงนะ ตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” 

บีมเล่าย้อนถึงครั้งหนึ่งที่เขาทดลองนำดอกไม้แห้งมาทำกระบวนการเหมือนการเก็บศพแบบวิธีพุทธในสังคมบ้านเรา และเขาได้เห็นความจริงบางอย่าง “ดอกไม้ร่วง เราก็เก็บ เก็บไว้หมด ทำเป็นดอกไม้แห้ง แล้วก็เริ่มทดลองเรื่องการเปลี่ยนผ่าน คุยกับเพื่อนที่เป็นพระคุยกันว่าเราจะ capture transformation ยังไง ไปๆ มาๆ มันมีเซตนึงเราทำการ dehydrate ดอกไม้เหมือนเก็บศพไว้ในโลง 100 วัน เหมือนฉีดฟอร์มาลีนแล้วเก็บ เพราะเราเคยรู้สึกว่าสิ่งนี้ทำไปทำไมนะ แต่พอเริ่มแก่ขึ้น รู้สึกว่ามันเปิดโอกาสให้คนได้พิจารณา เมื่อถึงวันที่เปิดออกมา แบบชัดเลยอ่ะ เราก็เลยลองดูเราอยากเก็บสภาพเปลี่ยนไป เราก็นำเขาใส่กล่องเอาความชื้นออก ทำไปเรื่อยๆ เริ่มเยอะก็ลองถ่ายดูอยากเล่าเรื่อง เพราะส่องเข้าไปมันมองเห็นว่าความพยายามของร่างกายเขา ร่างกายของดอกไม้ มันไม่น่าเชื่อว่าการอยากสืบพันธุ์มันทำให้ต้นไม้ต้นหนึ่งทุ่มเทพลังทั้งหมดเลย แล้วดอกกล้วยไม้เขาจะแสดงสัณฐานของเขา สัณฐานเป็นเรื่องของไฟเบอร์ อย่างเรื่องสี บางตัวไม่ยอมทิ้ง สีเขียว สีขาว อบไว้เดือนนึงแล้วอ่ะ ยังขาวอยู่ ส่วนตัวมองว่ามันพิเศษ” 

สิ่งที่ทำให้สัญญะของดอกไม้ที่เรากำลังสนทนานั้นชัดเจนขึ้นก็เพราะทุกวัฒนธรรมจะมีดอกไม้เข้ามาเป็นตัวแทนของบางสิ่งบางอย่างเสมอ “ทุกศาสนาไม่ว่าจะคริสต์ อิสลามหรืออะไร ดอกไม้จะเป็นตัวแทนเสมอตั้งแต่โบราณแล้ว เรื่องความตาย การเกิด การฉลอง ความเศร้าโศก การเทิดทูนบูชา เรามองว่าเป็นการให้ เป็นหนึ่งในเครื่องมือหนึ่งในการแสดงออก และด้วยตัวมันเองมันก็แสดงออก เรื่อง Im/permanent ก็คือเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย รายละเอียดของเขา เราถ่ายเป็นพอร์ตเทรต เหมือนพอร์ตเทรตคน” 

ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียว ก็น่าชม

ภายในงานจะจัดแสดงภาพถ่ายหลายเทคนิคที่สื่อสารถึงมิติที่ต่างกันไป ตั้งแต่ภาพสี ภาพขาวดำ อาการแสงรั่ว และวิดีโออาร์ต “พาร์ทสีมันมาจากความปิติยินดีในชีวิต แล้วก็จะมีภาพที่เหมือนอยู่ในความฝันช่วงนึง ที่เป็นฟิล์มหมดอายุ มีแสงรั่วอยู่เซตนึง เรารู้สึกว่ามันเหมือนไปอยู่ในความทรงจำของคนอื่นและฟิล์มหมดอายุมันก็มีเรื่องราวของตัวเอง ส่วนภาพขาวดำที่ติดกันสี่รูป ไม่ใช่ฝั่งดอกไม้แห้งนะ ดอกไม้แห้งเป็นอีกเรื่องนึง อยากจะถ่ายเหมือนยุค ‘50s อ่ะ เราเริ่มด้วยภาพดอกแหลมๆ ที่เป็นใบ อันนั้นเป็นจุดเริ่มของจุดเริ่มของนิทรรศการนี้ จุดเริ่มในเชิงของภาพนะ เป็นเรื่องการเกิดในคอนเซ็ปต์เกิดแก่เจ็บตาย เราวนอยู่อย่างนี้ แล้วก็มีดอกกุหลาบคือซื้อดอกไม้มาไหว้พ่อ พ่อชอบกุหลาบ เราเกลียดกุหลาบมาก ซื้อกุหลาบสีดำแต่มารู้ตัวอีกทีว่ามันย้อมนี่หว่า เราก็แบบเซ็งๆ ไม่ถ่ายให้เขาไหว้พ่อไป เราลอง color grading แล้วใส่สีน้ำที่กระถางเข้าไปใน shadow มันก็ออกมาเป็นอย่างนั้น เราก็บ้าบอๆ อยู่บ้านก็ลอง คือมันไม่มีอันนั้นไม่ได้เรารู้สึกว่าไม่มีพ่อไม่ได้ เพราะมีแต่แม่ทั้งงานเลย มันมีกิจกรรมที่ทำกับแม่ เริ่มต้นที่แม่ เราอยู่กับแม่ ดูแลแม่ แล้วก็มีเรื่องความตายที่เป็นวิดีโออาร์ต โอ๋-ปิยทัต เหมทัต เขาคิวเรทผลงานศิลปินไปแสดงที่ฮ่องกง แต่ว่าให้ทำเป็นวิดีโออาร์ตเป็นสไลด์โชว์ เราก็เขียนเพลงไปด้วย จริงๆ ตอนแรกเราตั้งใจอยากจะให้นิทรรศการนี้เป็นแบบนั้นหมดเลยแต่ก็มีมาทำเรื่องพอร์ตเทรตเพื่อจะได้มีไดนามิกเยอะขึ้น หลายคนบอกคนไทยพูดเรื่องความตายคนเขาไม่ค่อยชอบ มันไม่ค่อยเป็นสิ่งยินดีในช่วงนี้ มันหดหู่ เพราะเอาจริงๆ แล้วตอนนั้นที่คุย ตอนที่เขามี artist panel เราก็พูดเต็มที่เลย เขาก็โอเค เรื่องความไม่แน่นอนชีวิตอะไรอย่างนี้” 

บทสวดภัทเทกรัตตคาถาเป็นหลักสำคัญในการปฏิบัติการฝึกจิตใจให้สงบละทิ้งกิเลสทั้งปวง โดยบีมได้นำบางช่วงของบทสวดมาแปลเป็นภาษาอังกฤษติดบนผนังภายในงาน เพื่อประกอบการพิจารณาปัจจุบัน “เราเคยไปฝึกเตรียมตัวตาย แล้วก็รู้สึกมีประโยชน์ แต่ไม่รู้จะเล่าอย่างไร ของ Peaceful Death มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำความเข้าใจเรื่อง palliative care คือ ของเราเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย จะตายแล้ว ไม่เข้าโรงบาลไม่ต่อสาย เตรียมใช้มอร์ฟีนจำนวนเท่านี้ทำให้ไม่เบลอเกินไป ให้ไม่เจ็บมาก เตรียมเชิญเพื่อน เชิญแขกแบ่งสมบัติ เตรียมเพลงงานศพ อาหารจะใช้แคทเทอริ่งที่ไหน ดอกไม้มีไหม วัดอะไร จะให้พระมาเทศน์รึเปล่า จะเผาที่ไหน จริงๆ คุณยายเราเพิ่งเสียเมื่อเดือนที่แล้ว ก็มีบินไปเชียงใหม่ไปลา มีลูกหลานเต็มบ้านเลย บินมาจากต่างประเทศก็มาหา คือ เราอยากเล่าเรื่องนี้เยอะๆ นะ แต่เรายังไม่พร้อมที่ทำมันเป็นภาพ การบอกความสวยงามของการเปลี่ยนถ่ายภพชาติ ถ้ามองดีๆ มันสวยนะ มันมีความปิติอยู่มาก 

นิทรรศการนี้สำหรับเราคือหลักการปฏิบัติที่เรารู้สึกว่ามีกำลังมากในช่วงที่มันหดหู่โคตรๆ จะมีบทสวดมนต์นึงที่มีคำแปลว่า ‘มุนีผู้สงบย่อมกล่าวเรียกผู้มีความเพียรอยู่เช่นนั้น, ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืนว่า, ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียว ก็น่าชม’ ทำให้เรานึกถึงดอกไม้ ที่มีเขียนเป็นภาษาอังกฤษบนผนังในงาน มันแสดงออกให้เราเห็นผ่านความตายในรายละเอียดของเขา แล้วจะมีคำพูดของคนเลี้ยงต้นไม้ว่า ต้นไม้มันไม่ตายง่ายๆ หรอก มันสู้ ยังไงเขาต้องรอดให้ได้  จริงๆ มันจะแสดงออกด้วยความเพียร ทุกอย่างถูกร้อยด้วยความเพียร ซึ่งประโยค ‘ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียว ก็น่าชม’ นั้นก็ร้อยสิ่งที่เราอยากจะพูด”

 

พิสูจน์อักษร: ชลดา สวนประเสริฐ