brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Jun 2025

โต้ง - บรรจง ปิสัญธนะกูล
Through The Eyes of The Non-Believer
เรื่อง : มายา เซเยอร์ส
ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
8 Nov 2021

จาก ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’ สู่ ‘ร่างทรง’ แรงบันดาลใจเบื้องหลังภาพยนตร์เล่าเรื่องผีขึ้นแท่นของประเทศไทย จากปากผู้กำกับผู้ไม่เชื่อเรื่องผี แต่กลับถ่ายทอดความน่ากลัวของ ‘ผี’ ได้ในหลากหลายมิติอย่างน่าสนใจ 

ความสนุกในการเสพเรื่องผี สู่การถ่ายทอดเรื่องผีลงจอ

‘กลัวผีไหม’ เป็นคำถามแรกที่เราตั้งใจจะใช้เป็นคำถามเปิดบทสนทนาระหว่างเรากับโต้ง – บรรจง ปิสัญธนะกูล เมื่อเขาตอบรับการสัมภาษณ์กับเราท่ามกลางกระแสของภาพยนตร์ ‘ร่างทรง’ ที่กำลังร้อนแรง และบอกเลยว่าเราไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่คำว่า ‘ไม่กลัว’ หลุดออกจากปากของเขาออกมาทันทีแบบไม่คิด แต่เราก็ยังสงสัยต่อไปว่า ถ้าเขาไม่กลัวผีแล้ว ส่วนตัวเขาเชื่อเรื่องผีมากน้อยแค่ไหน กับคำถามนี้ เขานิ่งคิดไปสักพัก “ก็…” ราวกับจะหาคำตอบให้กับตัวเองมากกว่าตอบคำถามของเรา “พอไม่เคยเจอจังๆ ก็เลยไม่คิดกับมันนะ… เอาจริงๆ ก็ไม่เชื่อเท่าไหร่หรอก แต่ว่ามีคนรู้จักเจอกันเยอะแยะไปหมด ก็เลยคิดว่า ถ้าผีมีจริง ก็คงไม่เหมือนในหนังที่เราดูมาหรอก น่าจะมาแนวพลังงานตกค้างที่ทำให้คนสัมผัส รับรู้ และเห็นได้แบบนั้นมากกว่า เดาเอานะ”

เราอดสงสัยต่อไม่ได้ในฐานะที่ตัวเราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เชื่อเรื่องผี แต่ไม่ค่อยจะกลัวผีสักเท่าไหร่ ว่าถ้าหากว่าโต้งเห็นอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ในกองถ่าย หรือที่ใดก็ตาม ปฏิกิริยาของเขาจะเป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ตอบโดยแทบจะไม่หยุดคิด “ผมจะเป็นแนวพิสูจน์มากกว่าครับ สมมติว่าถ้าเป็นที่บ้าน เวลามีอะไรก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ‘อะไรวะ’ ผมก็จะเดินไปดู ก็ไม่เคยเจอสักครั้งนะ” ท้ายประโยคเราได้ยินเสียงหัวเราะจางๆ แม้ว่าใบหน้าเขาจะมีแมสก์ปิดอยู่ก็ตาม

เอาล่ะ… ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องผี และไม่เคยเจอผีจังๆ ทำไมคุณถึงเลือกที่จะทำหนังผีล่ะ (แม้ว่าโต้งจะเคยกำกับภาพยนตร์ประเภทอื่นมาหลายเรื่องแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเอ่ยถึงชื่อเขา ภาพยนตร์เรื่อง ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’ ก็จะขึ้นมาเป็นชื่อแรก) “มันเริ่มมาจากที่ผมชอบฟังเรื่องผีน่ะครับ ตั้งแต่เด็กแล้ว และเวลาผมดูหนังผี ผมจะกลัวในระหว่างที่ดู ผมชอบดูหนังผีมากเลยนะครับ รู้สึกว่าเป็นความบันเทิงที่ได้ปลดปล่อย เป็นแบบนี้มาตลอด…” เขาทำท่านึกย้อนอดีต “ตอนเด็กๆ ผมกลัวผีพอสมควรเลยนะ แต่ก็ชอบดูหนังผีกับญาติๆ คือไปรวมตัวกันและเช่าวิดีโอหนังผีมาดูทุกปิดเทอม เรียกได้ว่าดูกันทุกคืน แต่พอต้องมาทำหนัง ผมก็ไม่ได้คิดหรอกครับว่าผมจะมาเป็นผู้กำกับหนังผี แต่อาชีพผมเริ่มจากโจทย์ที่ว่า ทำหนังอะไรก็ได้ ขอแค่เรื่องดี บทดี ก็แค่นั้นครับ แล้วจังหวะดีที่ผมดันคิดเรื่องชัตเตอร์ขึ้นมาได้ มันก็เลยสานต่อมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนนั้นล่ะครับ”

แปลว่าไม่เชื่อเรื่องผี แต่เสพเรื่องผีเป็นความบันเทิงส่วนตัวนั่นเอง ไม่แปลกใจเลยที่โต้งสามารถนำเรื่องผีมาถ่ายทอดได้อย่างบันเทิงเช่นนี้ เล่าเรื่องการได้มาของไอเดียเรื่อง ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’ หน่อย “เริ่มจากได้ subject มาก่อนครับ ผมคิดถึงเรื่องภาพถ่ายติดวิญญาณได้ก่อน แล้วย้อนไปถึงยุคที่คนฮิตฟอร์เวิร์ดเมลกัน ในเมลเหล่านั้นก็จะมีรูปโป๊บ้าง มีความรู้บ้าง และหนึ่งในเรื่องที่ฮิตฟอร์เวิร์ดกันมากคือรูปผี ช่วงนั้นจะมีรูปดังๆ หลายรูปที่เห็นแล้วก็จำกันได้อย่างแน่นอน พอคิดถึง subject นี้ขึ้นมาได้ ก็นึกต่อไปถึงรายการทีวีที่ชื่อ ‘สี่ทุ่มสแควร์’ ที่ตอนจบจะชอบเล่าเรื่องผีกัน ซึ่งก็มีการยกเรื่องภาพถ่ายติดวิญญาณมาเล่าบ่อยๆ สิ่งที่ผมจำได้คือแต่ละรูปมันน่ากลัวมาก เลยคิดว่า subject นี้มันแข็งแรงมาก เพราะว่าในตลาดโลกนี้ไม่เคยมีใครเจาะลึกเรื่องหนังเกี่ยวกับภาพถ่ายติดวิญญาณมาก่อนเลย และยุคนั้นเป็นยุคที่ฝั่งฮอลลีวู้ดมาล่าเอาหนังผีเอเชียไปรีเมค ทั้ง The Ring ทั้งจูออน ไอเดียผมมาในช่วงนั้นพอดี ซึ่งพวกเราก็พูดกันเองในทีมนะครับว่า subject นี้แข็งแรงมากพอที่จะมีรีเมคได้แน่ๆ แค่พูดเล่นๆ กันเฉยๆ นะครับ แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นจริงๆ และคนที่มาซื้อก็คือคนที่ซื้อ The Ring ไปนั่นล่ะครับ ถึงมันจะเป็นตามที่เราคาดไว้จริงๆ แต่ตอนนั้นก็งงๆ เหมือนกันนะครับว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว”

เราแอบกระซิบกับโต้งว่า มีทีมงานของเราคนหนึ่งเคยออกปากว่าหนึ่งในเหตุผลที่เขาชอบถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์มเพราะว่าเขาเห็นคาแรกเตอร์ ‘ธรรม์’ ที่นำแสดงโดยอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮมเข้าห้องมืดแล้วเท่มาก เขาอยากเท่แบบนั้นบ้าง โต้งหัวเราะกับเรื่องเล่าของเราพร้อมออกความเห็นสั้นๆ ว่า “แปลว่าผมทำให้มันน่าเชื่อได้ ตัวละครตัวนี้ดูน่าสนใจ น่าเชื่อมากพอที่จะทำให้คนอยากเป็นช่างภาพตามเขาได้ ผมถือว่ามันโอเคนะ… ถือว่าดีเลยแหละ จริงๆ”

จาก subject ตั้งต้นสู่การพัฒนาโครงเรื่องที่แข็งแกร่ง

นอกจากความดีใจที่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ตัวเองกำกับถูกซื้อไปรีเมคแล้ว เขามีความกังวลอะไรที่จะส่งภาพยนตร์เรื่องที่เขาฟูมฟักไปอยู่ในมือคนอื่นบ้างไหม “ไม่กังวลนะ ผมอยากดู” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แต่มันก็ออกมาไม่ดี… ค่อนข้างแย่เลยแหละ ผมว่าเขาล้มเหลวตั้งแต่แคสติ้งแล้ว ตัวพระเอกที่เขาแคสต์มาดูเป็นแบดบอยมากๆ เลย ซึ่งสำหรับผม ตัวละครนี้ต้องมีความน่าสงสารบางอย่าง เขาทำผิดพลาดเพราะเขาอ่อนแอ แต่ฉบับรีเมคนี้คือคาแรกเตอร์เขาแบดบอยมาตั้งแต่แรกเลย ในส่วนของผี เขาก็ตีความฉากผีแบบไม่มีการแต่งเมคอัพใดๆ เลย มันก็เลยยิ่งงงไปกันใหญ่ เพราะมันขาดความน่ากลัวไปหมด ผมเลยคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ล้มเหลวในแง่การสร้างความกลัวนั่นล่ะครับ”

หลังจากฟังมุมมองเขาที่มีต่อภาพยนตร์รีเมคแล้ว เราไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดภาพยนตร์ของเขาถึงแข็งแรงมากขนาดนั้น เราจึงขอให้เขาเล่าเรื่องการพัฒนาจาก subject ตั้งต้นไปสู่บทภาพยนตร์ที่แข็งแรง “ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ทำหนังผีอีกแล้วล่ะ” โต้งย้อนเล่าไปถึงการพัฒนาเรื่อง ‘แฝด’ ผลงานภาพยนตร์อันดับสองของเขา “เพราะทำออกมาเต็มที่ จัดเต็มขนาดนั้นไปแล้ว แต่พอได้เจอ subject เรื่องแฝดสยามกับหนังสยองขวัญ ก็รู้สึกว่าเป็นไอเดียที่โดดเด่นมาก มันแปลกใหม่จริงๆ พอคิดถึงเรื่องความสยองของคนที่ตัวติดกัน อยู่ข้างกันทุกวินาที ซึ่งกรณีแบบนั้นมันก็มีแค่แฝดสยามเท่านั้นแหละ มันเป็นเรื่องราวที่พิเศษ ก็ค่อยๆ เริ่มคิดซีนที่ทีมงานชอบกันได้ อย่างเช่น ซีนที่ตัวละครเดินอยู่บนชายหาดคนเดียว พอหันหลังกลับไปเห็นรอยเท้าอีกชุดหนึ่งเดินข้างกัน เป็นซีนที่ผมรู้สึกว่าเท่มาก และน่ากลัวมากด้วย ก็เริ่มจากไอเดียพวกนี้ก่อน เพราะรู้สึกว่าไอเดียแบบนี้มันแข็งแรง หรือฉากบนรถไฟฟ้าที่หลายคนชอบกันก็คือ มีคนเต็มรถไฟฟ้าเลย แต่ข้างตัวไม่มีใครยอมมานั่ง เป็นฉากที่ดูน่ากลัวดี พอคิดซีนแบบนี้ได้ ก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะพัฒนาเนื้อเรื่องจากตรงนั้น เพราะเอาจริงๆ…” น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้น “เสียงเรียกร้องมันมหาศาลมากหลังจากที่เราปล่อยชัตเตอร์ออกไป ตลาดต่างประเทศก็รอคอยเราอยู่ มูลค่าทางมาร์เก็ตติ้งมันสูงมากด้วยครับ”

ถ้าความคาดหวังมหาศาลขนาดนั้น ในฐานะผู้กำกับที่แบกทุกอย่างไว้ คุณกดดันมากแค่ไหน “ตอนทำแฝดก็ไม่ค่อยกดดันนะ” น้ำเสียงของเขายังสบายๆ “ตอนนั้นยังเด็กๆ เลยไม่คิดอะไรมากมั้ง คิดแค่ว่าทำสิ่งที่มั่นใจที่จะทำ แต่พอเรื่องแฝดไม่ได้ตามเท่าที่คิด ก็เริ่มคิดมากนิดหน่อย แต่ตอนนั้นผมแยกออกมากำกับคนเดียวแล้ว ไม่ได้ร่วมงานกับภาคภูมิ (ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ – ผู้กำกับร่วมเรื่อง ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’) พอได้กำกับ ‘สี่แพร่ง’ และ ‘ห้าแพร่ง’ คนเดียว ก็เริ่มเบื่อหนังผี เลยเปลี่ยนมาทำ horror comedy เหมือนจะเริ่มเจอตัวตนที่ผสมผสานการเขียนบทสนทนา อารมณ์ขันต่างๆ นานา เลยพัฒนามาเรื่อยๆ จนได้ทำ ‘กวนมึนโฮ’ ทางของผมก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ น่ะครับ

“จริงๆ แล้วตอนที่ผมทำเรื่อง ‘คนกลาง’ ใน ‘สี่แพร่ง’ ยัน ‘พี่มาก..พระโขนง’ ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นหนังสยองขวัญเลยนะ” โต้งออกตัว “คิดว่าเป็นหนังตลกที่มี element ความเป็นหนังสยองขวัญที่เอามาสร้างความตลกด้วย ผมไม่ได้คิดเลยนะว่ามันเป็นหนังน่ากลัว คิดแค่ว่าจะทำอีกโหมดหนึ่งเท่านั้นเอง”

การ ‘เลือก’ ที่จะ ‘ตัด’ คือราคาแห่งประสบการณ์

หลังจากที่ได้ subject ตั้งต้นแล้ว กระบวนการพัฒนามันให้กลายมาเป็นบทภาพยนตร์ที่แข็งแรงพอนั้น ใช้เวลานานและซับซ้อนมากขนาดไหน “นานครับ” โต้งตอบทันทีแบบไม่หยุดคิด “ช่วงที่ตัดสินใจว่าอยากจะทำอะไรนี่สำคัญมากๆ สมมติว่าเจอไอเดียเริ่มต้นแล้ว ทีมก็จะโยนทุกอย่างลงไปว่าใครเห็นซีนอะไร ได้ยินบทสนทนาไหน ได้อารมณ์แบบไหนในภาพอะไร เป็นการรวบรวมโดยที่ยังไม่ต้องขึ้นโครงเรื่องเลย รวบรวมว่ามีอะไรเด็ดๆ ในไอเดียนี้บ้าง สามารถสำรวจแง่มุมไหนได้บ้าง ในระหว่างการสำรวจนี้ บางครั้งก็เจอบทสนทนา บางครั้งก็เจอฉาก บางครั้งก็เจอรายละเอียดที่คิดว่าเท่มาก ใช่มาก เข้มข้นมาก น่าทำมากเลย ก็ใช้เวลารวบรวมจนกระทั่งทุกคนเห็นภาพร่วมกันประมาณหนึ่งแล้ว ค่อยมาลงรายละเอียดพร้อมกันน่ะครับ”

และในระหว่างกระบวนการรวบรวมทุกสิ่งอันจนมาถึงจุดสิ้นสุด โต้งยอมรับว่ามันมีการตัดอะไรต่อมิอะไรทิ้งไปเยอะแยะระหว่างทาง เราจึงขอให้เขาให้คำแนะนำเด็กรุ่นใหม่ว่าการเลือกที่จะตัดนั้นมีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง เขานิ่งคิดไปสักพักก่อนจะตอบตรงๆ ว่า “อันนี้พูดยาก มันเป็นเซนส์ล้วนๆ เลยครับ” ดูราวกับเขาพยายามหาคำอธิบายมาให้เราให้จงได้ “ทันทีที่เริ่มเขียนเรื่องย่อ และสร้างพล็อตออกมาแล้ว ผมจะรู้เองว่าบางอย่างมันเกินจริงๆ เขียนๆ ไปจะรู้ว่าอันนี้ใส่แล้วไม่ใช่ ไม่กลมกลืน มันจะเป็นการคัดทิ้งด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าเป็นสมัยเด็กๆ อาจจะมีความเป็นไปได้ว่าจะเสียดายโน่น เสียดายนี่ ใส่ๆ ไปเถอะ แต่พอโตขึ้นมา ก็เริ่มรู้แล้วว่าทำแบบนั้นไม่ได้ อาจจะเพราะทำงานมาเยอะด้วยมั้งครับ เลยรู้ว่าใส่ไปก็มีแต่รก เพราะทุกอย่างในหนังมันต้องใส่ไปเพื่อให้มีหน้าที่ของมัน มันต้องดำเนินเรื่องได้ ถ้าเราต้องการใส่มันไปเพื่อจุดประสงค์อื่น มันต้องมีการสอดแทรกอย่างแนบเนียน ไม่ใช่จู่ๆ จะยัดอะไรลงไปก็ได้ แบบนั้นมันไม่ใช่”

เราขอให้โต้งยกตัวอย่างฉากที่เขาคิดว่าจะใช้ในอีกเรื่องหนึ่ง แต่กลับไปปรากฏอีกเรื่องหนึ่งให้เราฟัง เขานิ่งคิดไปสักพัก “ผมว่ามันจะเป็นแนวคิด หรือเขียนเก็บไว้แต่ยังไม่ได้ใช้มากกว่านะ” เขาตอบ “อย่างมุกที่ผมรู้สึกว่าแสบมาก กวนตีนมาก คิดไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้ใช้ คือมุกที่มีการตะโกนว่า ‘เหี้ย’ แล้วกล้องแพนไปเจอตัวเหี้ยจริงๆ พอมุกนี้ได้เอามาใช้ในเรื่องพี่มาก มันมากกว่านั้น เพราะมันมีการตะโกนว่า ‘อีนาก’ แล้วคัตมาเป็นตัวนาก ไม่ใช่แม่นากอีก ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามุกนี้มันแสบมาก คิดไว้หลายปีแล้ว ในที่สุดก็ได้พัฒนาต่อ และไปปรากฏอยู่ในหนังได้อย่างกวนตีนมากจริงๆ… ก็เป็นประมาณนี้ล่ะครับว่าคิดอะไรไว้ก่อน แล้ววันหนึ่งอาจจะได้หยิบมาใช้”

เราละเว้นไม่ชวนโต้งคุยเรื่อง ‘ร่างทรง’ ด้วยเหตุผลอันใดเราเองก็ไม่มั่นใจ แต่เราคิดว่าการที่เราได้เรียนรู้กระบวนการทำงานอันละเอียดอ่อนและซับซ้อนของโต้งที่สร้างสรรค์คาแรกเตอร์ ‘ธรรม์’ ออกมาได้ราวกับเขามีชีวิต และสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานคนหนึ่งของเรารักการเข้าห้องมืดนั่นน่าจะเพียงพอแล้วที่จะเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็นของเราในฐานะทีมทำงานนิตยสารที่ว่าด้วยภาพถ่าย และเราเชื่อว่า บทสนทนาของเรากับโต้งในครั้งนี้จะเป็นแรงผลักดันให้พวกเราเองตั้งใจทำงานตรงหน้าให้ดีที่สุด และปล่อยมันออกมาเผื่อว่ามันจะสร้างแรงบันดาลใจให้ใคร… แม้แต่สักคนหนึ่ง ก็เพียงพอแล้ว

 

พิสูจน์อักษร: ชลดา สวนประเสริฐ