ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
A CONVERSATION WITH THE SUN
บทสนทนาระหว่างอภิชาติพงศ์และดวงอาทิตย์: หากฉันนั้นไร้ตัวตน และสิ่งใดจะยังคงอยู่ ขณะที่จ้องมองผ่านเลนส์กล้อง
“มันเป็นไปได้ไหมที่เราถ่ายรูป เพื่อที่จะลืม” ประโยคนี้เหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ยังดังก้องสะท้อนไปมาทั่วอณูในหัวของผม มันเกิดขึ้นในตอนหนึ่งระหว่างที่ได้สนทนากับ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ในวันเปิดนิทรรศการล่าสุดของเจ้าตัวกับ A Conversation with the Sun ที่ บางกอก ซิตี้ซิตี้ แกลเลอรี่
นิทรรศการนี้แบ่งเป็นสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นการจัดแสดงภาพนิ่งและภาพวิดีโอที่ถูกบันทึกด้วยกล้อง Harinezumi กล้องคู่กายของอภิชาติพงศ์มาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว กล้องตัวจิ๋วนี้แม้จะมีความละเอียดของภาพในระดับที่ต่ำมาก แต่นั่นคงเป็นสิ่งที่อภิชาติพงศ์เลือกแล้วว่าจะใช้มันบันทึกช่วงเวลาที่เขารู้สึกมาตลอด การเดินทางไกลของตัวเขาเอง ภาพจะถูกฉายผ่านผ้าม่านราวกับสองสิ่งนี้กำลังทำงานร่วมกันเหมือน Performance Artist ที่ผ้านั้นได้เล่นกับแสง แสงที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่ง ใจความสำคัญของนิทรรศการนี้ และการที่ได้เลือกใช้ผ้าม่านมาเป็นสิ่งคั่นกลางระหว่างผู้ชมหรือภาชนะกักเก็บความทรงจำที่ลื่นไหล ผืนผ้าได้เริงระบำในแบบฉบับของตัวเอง ผ้าม่านคงจะเป็นวัตถุจัดแสดงที่สื่อสารถึงความหมายในตัวผลงานได้อย่างซื่อสัตย์ ขณะเดียวกันก็มอบสุนทรีย์เมื่อเวลาแสงไฟฉายผ่านมัน
ส่วนที่สอง จะเป็นการเล่าถึงหนังสือในชื่อเดียวกัน A Conversation with the Sun ท้องเรื่องของหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยมวลเสน่ห์ของถ้อยคำที่โอบล้อมไปด้วยกลิ่นของปรัชญาและปริศนาชวนคิดตาม ในนั้นคุณจะเจอบทสนทนาระหว่างอภิชาติพงศ์กับดวงอาทิตย์, กฤษณะมูรติ, ซัลวาดอร์ ดาลี, ทิลดา สวินตัน และนักคิดนักเขียนชื่อดังจากในต่างยุค โดยบทสนทนาทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ชื่อว่า GPT-3 โดยรายชื่อทั้งหมดอภิชาติพงศ์เป็นผู้ลำดับและมี พีพี-พัทน์ ภัทรนุธาพร เป็นผู้แนะนำแพลตฟอร์ม AI โมเดลนี้ให้แก่อภิชาติพงศ์ได้พบกับการสร้างสรรค์บทโต้ตอบของมนุษยชาติที่น่าทึ่ง และความมหัศจรรย์ของข้อมูลที่ผู้คนได้ทิ้งไว้บนอินเทอร์เน็ต
-ความบริสุทธิ์-
ผมเริ่มต้นคุยกับอภิชาติพงศ์ถึงความเกี่ยวโยงของสองผลงานในนิทรรศการนี้ อภิชาติพงศ์เล่าถึงความพยายามจะเข้าไปถึง ‘ความบริสุทธิ์’ ในแง่ของสภาวะสุญญากาศทางข้อมูล การนำเสนอผลงานที่ไม่ได้ผ่านตัวตนหรืออัตตา ที่อยู่เหนือหรืออาจเป็นอิสระจากพันธะของชุดข้อมูลใดข้อมูลหนึ่ง
Kasidet: งานนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนใช่ไหมครับ มีส่วนที่เป็นภาพถ่ายที่นำมาเรียงเป็นวิดีโอและก็หนังสือที่สร้างโดย AI ใช่ไหมครับ ทั้งสองมีความเกี่ยวเนื่องกันในเรื่องไหนครับ?
Apichatpong: มันออกมาโดยธรรมชาติเนอะ ที่มามันคืออะไร บางครั้งก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราต้องการอะไร ทุกครั้งมันก็ถูกปรับมาเรื่อยๆ จนถึงเมื่อเช้านี้ ถึงเข้าใจว่ามันคืออะไร เพราะว่าจริงๆ เราเป็นคนเก็บภาพไว้เยอะมากในชีวิต เรารู้สึกว่ามันเป็นสัญชาตญาณที่ทำอะไรอันนี้ขึ้นมา
จนถึงจุดหนึ่ง มันอาจจะเป็นไปได้ไหมที่เราพยายามสร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาเพื่อที่จะมองภาพพวกนี้โดยที่ไม่ได้เอาความหมายเข้าไปกำกับมัน ไปยึดกับมัน เพราะว่าจริงๆ มันก็เป็นภาพที่กล้องของเราจับไว้ แต่ว่าพอมันถูกนำเสนอด้วยการสุ่มเล่น มันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ความเข้าใจของภาพพวกนี้กับเรามันเปลี่ยนไป แม้แต่ความหมายที่มันเกิดขึ้นจากการซ้อนตำแหน่ง หรือลำดับของมัน ทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเรา มันเป็นแค่แสง มันเป็นแค่สี
เหมือนมันเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้เราดู ดูโดยไม่ยึด อันนี้ก็เป็นอีกคำถามหนึ่ง ใช่หรือเปล่าที่เราทำแบบนี้ เพราะว่ามันเกิดจากการที่เราก่อนนี้ทำงานโดยที่มีโจทย์ ค่อนข้างมีโจทย์เยอะ แต่พอสมมติไปโคลอมเบียมันไม่มีโจทย์และมันไม่มีความทรงจำ มันไม่มีว่าอีสานมันเกิดอะไรขึ้น มันเลยต้องแค่ดูแค่ฟังอย่างเดียว ไม่ได้เอาความคิดเข้าไปตีความมัน ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องงานอย่างเดียว มันเป็นการมีชีวิตอยู่ด้วย
สิ่งที่เราตีความหรือว่าคอยนำทางให้ชีวิตเรา มันเกิดจากข้อมูลทั้งนั้นเลย เป็นข้อมูลทั้งหลายที่มาสร้างความเป็นตัวเรา หรือแม้แต่การสร้าง ‘ภาพ’ จริงๆ แล้วภาพของมันเองไม่มีอะไรเลย เหมือนต้นไม้หรือดอกไม้ ไม่มีอะไรเลย มันไม่มีประเด็น แต่ตราบใดที่มันมีอะไรบางอย่างเข้ามา พี่ว่ามันไม่บริสุทธิ์แล้ว แต่พี่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์เราต้องบริสุทธิ์ แต่เป็นไปได้ไหมที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่ครอบด้วยข้อมูล ไม่ครอบด้วยแม้แต่อย่างอื่น กระบวนการของการคิดอย่างนี้ คำถามที่กฤษณะมูรติถาม ซึ่งเราว่าจริงๆ มันเป็นไปได้ไหมในเสี้ยวหนึ่งของชีวิต เช่น สมมติปีนเขาหรือว่าเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม คนเรามันจะไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต ไม่มีอะไรด้วยซ้ำ มันอยู่กับจุดนั้น แม้แต่ความเป็นตัวเองมันจะหายไปเลย พี่ว่ามันคือเหตุผลที่ทำไมคนถึงเสพติด บางครั้งในกีฬาเอ็กซ์ตรีม ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นไปได้นะ โมเมนต์ที่ไม่ยึดไม่เอาข้อมูลไปใส่ เพราะฉะนั้นมันเป็นไปได้ไหม สิ่งที่เราทำในวิดีโอพวกนี้มันคือแพลตฟอร์มส่วนตัว สอนตัวเอง ไม่ถึงขนาดสอนหรอก แต่เพื่อเป็นการให้ตัวเองดูโดยไม่ยึดรึเปล่า
แต่พี่เรียกมันว่าบทสนทนากับดวงอาทิตย์ มันจะเชื่อมถึงสิ่งที่ว่า เวลาเราเดินป่าอะไรอย่างนี้ แล้วเราพยายามว่าเราไม่คิดได้ไหม มนุษย์เราไม่คิดได้ไหม เราแค่สื่อสารและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แล้วมองดวงอาทิตย์เป็นปฐมบทของชีวิตแล้วก็เป็นปฐมบทของภาพ สิ่งสำคัญที่กล้องต้องพึ่งคือแสง แล้วเรามองมันเป็นแสงอย่างเดียวได้ไหม
-การตีความ-
อภิชาติพงศ์ – (ชื่อเล่น “เจ้ย” ต่างประเทศเรียก “Joe”) เกิดวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2513 ณ กรุงเทพมหานคร เติบโตในจังหวัดขอนแก่น
ดวงอาทิตย์ – เป็นดาวฤกษ์ ณ ใจกลางระบบสุริยะ เป็นพลาสมาร้อนทรงเกือบกลมสมบูรณ์
ข้างบนเป็นเพียงหนึ่งในคำอธิบายที่ผมหยิบยกขึ้นมาจากบรรทัดแรกในวิกิพีเดียหลังกดปุ่มเอ็นเทอร์ค้นหาความหมายภายใต้คำสองคำนี้ นี่เป็นความน่าสนใจของการนำเสนออย่างหนึ่งในหนังสือ A Conversation with the Sun ที่รายนามคุ้นชินเหล่านี้อาจไม่ใช่สิ่งที่เรารู้จักก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอภิชาติพงศ์ ดาลี และแม้กระทั่งผู้นำแห่งจักรวาลอย่างดวงอาทิตย์
Kasidet: รายชื่อคนในหนังสือที่พี่เจ้ยเลือกคู่สนทนามา พี่เจ้ยเลือกคุยกับใคร เพราะว่าอะไร
Apichatpong: คือแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ใช่ตัวเรา อภิชาติพงศ์ก็จะมีหลายอภิชาติพงศ์ได้
Kasidet: คือมันแค่นามสมมติ
Apichatpong: นามสมมติ คืออภิชาติพงศ์ในหนังสือไม่ใช่เราเลยนะ ก็คือเราเริ่มบทแรกเลย Apichatpong กับ The Sun มีบทสนทนากัน ช่วยพิมพ์บทสนทนาของเขาออกมาให้เราด้วย แล้วก็พัฒนาต่อ
Kasidet: แต่ชื่อต่างๆ ที่พี่ใส่เขาไปในชุดคำสั่งว่าจะคุยกับทิลดา ดาลี หรือใคร พี่ใส่เองใช่ไหม
Apichatpong: ใช่ มันยังมีตัวเราที่เข้าไปอยู่ตรงนี้ ตอนท้ายหนังสือมันจะมีบอกว่าสิ่งที่เราพูดกับ AI เราใช้คำว่าอะไร มันจะเฉลยหมดเลยว่าในหน้าที่เท่านี้ เราใช้คำว่าอะไรถาม แล้วแมชชีนตอบ
เราต้องการที่จะอยากรู้ว่า AI ประดิษฐ์นิยายหรือประดิษฐ์การโกหกนั่นแหละออกมาได้อย่างไร และดวงอาทิตย์คืออะไรสำหรับ AI หรือสำหรับมนุษยชาติ เพราะเราไม่ได้มองว่ามันคือหุ่นยนต์ มันไม่ได้มีเส้นแบ่งระหว่างเครื่องจักรกับคน แต่ว่ามันก็คือคนนั่นแหละ ในแง่…เครื่องมืออย่างหนึ่ง ที่มันน่าสนใจเพราะว่ามันมีตัวตนของมนุษย์อยู่ข้างใน ความทรงจำของมนุษย์ การตีความ เพราะฉะนั้นก็จะแบบว่าดวงอาทิตย์คืออะไร ดวงอาทิตย์ในลักษณะของก้อนแก๊สทางวิทยาศาสตร์หรือว่าดวงอาทิตย์ในแง่ของเรื่องแต่งของมนุษย์ หรือดวงอาทิตย์ในแง่ของปรัชญาหรืออุปมาอุปไมยของมนุษย์อะไรแบบนี้ มันก็จะฝังอยู่ในนั้นหมด ซึ่งพอเวลาสนทนาน่าสนใจมาก
-ไม่มีถูกไม่มีผิด-
“มันคงจะดีมากเลย หากเราให้พื้นที่ผู้ชมได้จินตนาการเองว่าสิ่งต่อไปที่เขาจะเจอคืออะไร” อภิชาติพงศ์คนหนึ่งที่สนทนากับดวงอาทิตย์ ประโยคนี้ผมคัดลอกและแปลมาจากวรรคหนึ่งในป้ายหน้างานนิทรรศการที่ทำหน้าที่เหมือนคู่มือทำความเข้าใจและวิธีรู้สึกต่อผลงานจัดแสดงได้อย่างดี อ่านจบทุกบรรทัดผมก็รู้สึกถึงความสัมพันธ์อะไรบางอย่างในตัวผมที่มีต่องานภาพยนตร์ที่เขาเคยสร้างมา
Kasidet: คือเมื่อกี้อ่านป้ายหน้างาน มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ดูหนังพี่ครับ เหมือนหนังของพี่หลายๆ เรื่องที่ให้คนดูตีความกับมันได้อย่างเต็มที่ ไม่มีเงื่อนไข
Apichatpong: ไม่มีถูกไม่มีผิด
Kasidet: มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหมครับ
Apichatpong: จริงๆ แม้แต่ป้ายข้างหน้า มันก็ AI คือเราก็พิมพ์เข้าไปว่า (พิมพ์ชุดคำสั่งลงในแพลตฟอร์ม) เรากับดวงอาทิตย์มีโชว์ด้วยกันเนี่ย ผนังตรงข้างหน้าแกลเลอรี่ เราควรจะโชว์อะไรกันดี เขาก็ตอบมาเยอะแยะไปหมด
Kasidet: ต้องเป็นคำพูดของใครสักคนหนึ่งในอินเทอร์เน็ต ที่เขาสังเคราะห์ออกมาเป็นคำพูดพวกนี้
Apichatpong: ใช่ๆ มันน่าหลงใหลมากเลยพี่ว่า
-ถ่ายรูป เพื่อที่จะลืม-
แม้ผมจะมีเวลาไม่มากนักที่จะลงลึกได้กับทุกคำถามที่เตรียมมา แต่ให้ตายอย่างไรเราก็ต้องคุยเรื่องนี้กันให้ได้ (พึมพำกับตัวเอง) นั่นก็คือเรื่อง ‘ภาพถ่าย’ ในมุมผู้กำกับหนัง ก่อนหน้าที่จะมาเจออภิชาติพงศ์ สิ่งที่วิ่งอยู่ในหัวของผมมาตลอดสำหรับผู้กำกับหนังที่ได้มีโอกาสนำเสนอผลงานภาพถ่ายส่วนตัว จะเป็นหน้าตาแบบ Instant Light ความทรงจำสุดท้าย ของ Andrei Tarkovsky หรือจะเป็น Wim Wenders กับบันทึกการเดินทางของเขา แต่คำตอบที่อภิชาติพงศ์ให้คำตอบกับผม มันช่างแตกต่างและสะกิดส่วนหนึ่งของจิตสำนึกที่ทำให้เย็นวันนั้นผมกลับไปคุยกับวันวานของตัวเองอยู่นานเหมือนกัน
Kasidet: พี่เจ้ยมองว่าภาพถ่ายเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง
Apichatpong: *ที่พี่เขียนไว้ก็คือพี่สนใจภาพในกล้องในแง่ที่มันเป็นไปได้ไหมที่อุปกรณ์มันทำให้เราไม่มีตัวเรา เหมือนที่เราคุยกัน เพราะว่าเวลาเกิดเฟรมภาพ เวลาเรามองภาพ พี่ว่ามันมีเสี้ยวนึงที่เราไม่ได้เอาตัวเราเข้าไปเกี่ยว แน่นอนมันจะมีเรื่องที่เราชอบคอมโพสนี้ สีนี้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องของเสี้ยววินาทีที่เรารู้สึกไม่มีตัวตน จากความคิดหลายๆ อย่าง เพราะเรามองแค่มองอย่างเดียวและสิ่งที่เราถ่ายบนมือถือหรือแม้แต่คลิปทั้งหลายที่เราถ่าย เราไม่ได้กลับไปดูมันอีกใช่ไหม ไม่รู้ว่าทุกคนเป็นเหมือนกันเปล่า สมมติเราถ่ายไปร้อยรูป เราจะกลับไปดูสักสิบรูปยี่สิบรูป เราถ่ายเพราะว่าเราประทับใจเราอยากเก็บ แต่เราไม่ได้ดูนะ มันเป็นไปได้ไหมที่เราถ่ายรูป เพื่อที่จะลืม หมายความว่าเพื่อที่จะไม่ต้องการเก็บภาพนั้นจริงๆ แต่มันเป็นแค่การติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก (กดบันทึก) ให้มันลืม เพราะมันตรงข้ามกับที่เราคิดไว้ว่าแต่ก่อนเราถ่ายหรือทำหนัง เพื่อจำ แต่จริงๆ มันอาจจะไม่ใช่
Kasidet: เก็บเพื่อปล่อยไป
Apichatpong: หรือว่าการทำหนัง ความที่เราเป็นคนที่ไม่ได้ชอบสังคมหรือว่าเป็นคนขี้อายระดับหนึ่ง เป็นไปได้ไหมที่กล้องมันเหมือนกับเป็นกำแพงอย่างหนึ่ง เป็นตัวเชื่อมระหว่างเรากับโลก มันกลายเป็นเหตุผลที่เวลาเราถือกล้องหรือว่าดูเนี่ย เราไม่มีตัวตน เพราะถ้าเรามีตัวตนแล้วเราจะไม่อยากปฏิสัมพันธ์กับคนนั้นคนนี้ เราใช้กล้องเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสาร
Kasidet: เป็นเครื่องมือสื่อสาร
Apichatpong: เครื่องมือสื่อสาร… แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะทำให้ตัวเราไม่มีอยู่
ความคิดของอภิชาติพงศ์ได้พาผมวิ่งฝ่าม่านแสงเข้าไปภายในความพล่าเลือนบางอย่าง ความจำที่ไม่คมชัด สีที่ไม่ชัดเจน แต่รู้สึกถึงช่วงเวลาได้อย่างแนบแน่น
นิทรรศการ A CONVERSATION WITH THE SUN โดย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ร่วมกับดั๊กยูนิต และ พัทน์ ภัทรนุธาพร เปิดให้เข้าชมในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม ถึง 10 กรกฎาคม 2565 ที่บางกอก ซิตี้ซิตี้ แกลเลอรี่
* “ทิวทัศน์ ก้อนเมฆ ต้นไม้ อนุสาวรีย์ของเผด็จการ ท่าทีของผู้คนและสัตว์ ทะเล ม่านในตอนเช้า และหลากหลายสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คือเพื่อนร่วมทาง…ที่ผมเพิ่งเข้าใจว่า ผมบันทึกภาพพวกมันไว้เพื่อที่จะไม่หวนกลับไปเวลาขณะนั้นอีก การบันทึกภาพไม่ใช่เพื่อการเก็บรักษา ไม่ใช่เพื่อการจดจำ แต่คือการสร้างบทสนทนากับปัจจุบัน” ตอนหนึ่งในถ้อยคำประกอบงานนิทรรศการโดยอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เขียนเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา